บันทึกการเดินทางเส้นทางจักรยาน EuroVelo หมายเลข 6 ในฝรั่งเศส และส่วนหนึ่งของเส้นทางคณะราชทูตอยุธยาโกศาปานไปปารีส (พ.ศ.2229)
หมุดเมืองต่างๆ ในอดีตจากเมืองแบร็สต์ Brest ไปเมืองปารีส Paris ตามบันทึกชื่อเมืองที่คณะราชทูตอยุธยาโกศาปานได้เดินทางผ่านเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน ในหนังสือ จดหมายเหตุ โกศาปานไปฝรั่งเศส เขียนโดย มองซิเออร์ เดอ วีเช ปีตีพิมพ์ พ.ศ.2229 สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมืองที่ตั้งอยู่ในเส้นทางแม่น้ำลัวร์ คือเมือง นองต์(Nante) – อ็องเฌ(Angers) -ตูร์(Tours) – บลัว(Blois) – ออร์เลอ็อง(Orléans) ซึ่งอยู่ในเส้นทางจักรยาน EuroVelo หมายเลข 6 (หากใครสนใจหน้าตาเส้นทางของโกศาปานเป็นเช่นไรเร็วๆ ให้ข้ามไปวันที่ 10 ของการเดินทางนะคะ)
Day 1 เมืองมัลลูส ไป เมืองมงเบลียาร์
2 พฤษภาคม 2567 ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิซึ่งกำลังจะเข้าฤดูร้อนในอีกไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่เดินทางจากประเทศไทยมายุโรปเจอกับสภาพอากาศหนาวเย็นเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา เราจึงได้จังหวะที่เริ่มปั่นจักรยานในเดือนนี้ ปกติในช่วงหน้าร้อนจะเป็นช่วงที่คนนิยมปั่นจักรยานท่องเที่ยวกันมาก และแค้มป์ไซต์ต่างๆ ก็จะเปิดให้บริการเต็มที่
(**เนื่องจากเป็นการเดินทางท่องเที่ยว ศูนย์ยื่นวีซ่าจึงต้องการให้เราจองโรงแรมทุกวัน แต่การเดินทางระยะยาวในการปั่นจักรยานนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนในการเข้าพักอยู่มากทั้งจากสาเหตุสภาพอากาศ เส้นทาง จักรยาน และคนปั่น การยื่นขอวีซ่าเชงเก้นเราจึงใช้วิธียื่นจดหมายอธิบายเหตุผลที่ไม่สามารถจองโรงแรมทุกวันได้เป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงแผนที่การเดินทาง กำหนดการปั่นแต่ละเมือง เอกสารจองโรงแรมที่จะพักล่วงหน้าไปประมาณหนึ่งอาทิตย์กว่า นอกเหนือไปจากเอกสารอื่นๆ ที่ส่งไป ทั้งนี้การขอวีซ่าเชงเก้นครั้งนี้เราได้ประสานขอคำแนะนำเรื่องจองที่พักทั้งจากศูนย์ยื่นวีซาร์ กงสุลฝรั่งเศส และสถานทูตสวิสเซอร์แลนด์(ที่เครื่องจะไปลง) โดยฝรั่งเศสเป็นประเทศที่จะอยู่นานสุด จึงขอวีซ่าเชงเก้นกับฝรั่งเศส ซึ่งได้รับวีซ่ากลับมาในเวลาไม่นาน ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์ช่วยเหลือและให้คำแนะนำต่างๆ ของทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ค่ะ)
การเดินทางปั่นจักรยานของเรา ทริปนี้เริ่มต้นที่เมืองบาเซิล (Basel) สวิสเซอร์แลนด์ เพราะอยู่ใกล้บ้านป้ารหัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัยขอนแก่น เราเช่าจักรยาน (สัปดาห์ละ 100 CHF) แทนการเอามาจากไทย ซึ่งค่าขนส่งค่อนข้างแพงกว่า 3 สัปดาห์ที่เราจะเช่า เราออกเดินทางจากเมืองบาเซิลโดยใช้รถไฟไปฝรั่งเศส ลงที่สถานีรถไฟเมืองมัลลูส (Mulhouse) แล้วปั่นไปตามคลองส่งน้ำและแม่น้ำดู (Le Doubs) ตามเส้นทางยูโรเวลโล่หมายเลข 6 ซึ่งมีป้ายสัญลักษณ์บอกทางเป็นหมายเลขโดยตลอด
เส้นทางจักรยานในฝรั่งเศสเป็นทางสายสงบสำหรับจักรยานและคนเดินโดยเฉพาะ ไม่ค่อยบู๊ขอบถนนใหญ่เหมือนบ้านเรา เราเลยได้ยินเสียงนกร้องและสัมผัสธรรมชาติที่อยู่รอบตัวชัดเจน ทางสำหรับวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นในช่วงแรก ยกเว้นอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เม็ดฝนก็เริ่มโปรยปรายบวกกับอากาศหนาวเย็นเริ่มปะทะเข้ามาเรื่อยๆ ลมต้านแรงปั่นจนลำบาก ฝนเม็ดแหลมทิ่มแทงหน้า ถุงมือเริ่มเปียกชื้นยะเยือก ยังดีที่เสื้อกันฝนยังทำหน้าที่ให้ตัวอุ่น และแน่นอนมาได้แค่ 26 กม. ต้องตัดสินใจหาหมู่บ้านแล้วไปใช้รถไฟท้องถิ่นต่อ เพื่อไปยังจุดหมายคือ เมืองมงเบลียาร์ (Montbéliard) ที่ห่างออกไปราว 30 กม.
เราไปรอรถไฟท้องถิ่นประมาณชั่วโมงกว่า โชคดีว่ามีห้องสมุดอยู่ใกล้ๆ ที่ขอใช้ห้องน้ำได้ สำหรับการนำจักรยานขึ้นรถไฟในฝรั่งเศสอาจต้องจองตั๋วของจักรยานด้วย จะแยกกันคนละเว็ปไซต์กับตั๋วรถไฟยูเรลพาส (Eurail Pass)
Day 2 เมืองมงเบลียาร์ ไปเมืองแว
ออกจากเมืองมงเบลียาร์ ไปเมืองแว(Vaire) ฝรั่งเศส ระยะทางประมาณ 80 กม. วันนี้ไม่มีฝน ผ่านฟาร์มวัว ม้า แกะ เจอสัตว์ป่าบนภูเขา ได้ยินเสียงทั้งนกทั้งกบอย่างชัดเจน ตลอดเส้นทางจักรยานจะอยู่เลียบคลองชลประทาน (Le canal du Rhône au Rhin) และแม่น้ำดู (Doubs) ซึ่งไหลขนาบอยู่ใกล้ๆ ตามเส้นทาง EuroVelo 6
เมืองแวเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีทั้งร้านอาหารและร้านค้า แต่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำแร่ธรรมชาติที่มีรสชาติและคุณภาพดีมาก จนขุนนางสมัยก่อนต้องให้คนรับใช้เดินทางจากปราสาทอย่างไกล เพื่อมาขนเอาน้ำแร่ที่หมู่บ้านนี้ไปเป็นน้ำดื่มโดยเฉพาะ เราได้ดื่มจากก๊อกแล้วก็รู้สึกสดชื่นอย่างที่อวดไว้จริงๆ
ที่พักคืนนี้เป็นอพาร์ทเม้นท์มีที่เก็บจักรยาน ใจนึกว่าเป็นตึกเล็กๆ ที่เขาแบ่งห้องไว้ให้เช่า พอมาถึงเจ้าของบ้านพาชมมี 2 ห้องนอน พร้อมด้วยห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องนั่งเล่น และห้องครัว บ้านนี้อายุ 200 กว่าปี รีโนเวตได้น่าอยู่มาก เจ้าของน่ารักเป็นกันเอง พูดสลับไปมาระหว่างภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศส เราก็เดากันไปหัวเราะกันไปสนุกดี ตอนนี้แม้ไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว (ฮา)
Day 3 เมืองแว ไป เมืองเบอซ็องซง
ภาพระหว่างทางไปเมืองเบอซ็องซง (Besançon) ยังคงขี่เลียบแม่น้ำดู จากเมืองแวไปเมืองเบอซ็องซง แค่ 20 กม.
เมืองเบอซ็องซงเป็นเมืองที่มีป้อมปราการโบราณอยู่ยอดหน้าผาสูงชัน เบื้องล่างผาคือทางจักรยานเลียบแม่น้ำดู เบอซ็องซงเป็นเมืองที่สร้างไปตามรูปร่างที่โค้งไปมาของแม่น้ำดู ที่นี่มีโบสถ์โบราณบรรยากาศแบบโลกเวทมนต์ สิ่งหนึ่งที่เมืองนี้มีชื่อเสียงมากคือ นาฬิกาดาราศาสตร์อันเก่าแก่ อยู่ที่ Cathédrale St. Jean de Besançon แต่ตอนไปเสียดายที่ปิดซ่อมแซม และเมืองนี้ยังเป็นศูนย์กลางการทำนาฬิกาที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส มีร้านขายนาฬิกาคุณภาพและมีการออกแบบที่สวยงามทันสมัยอยู่ในย่านตัวเมือง
Day 4 เมืองเบอซ็องซง ไป เมืองด็องปารี
วันนี้อากาศดี ไม่มีฝน มีผู้ร่วมทางเยอะเพราะเป็นวันหยุด ระหว่างทางเจอครอบครัวที่ขนกันมาปิคนิค ผู้ปกครองผูกลา 2 ตัวไว้กับรถเข็น เด็กๆ บางคนขี่ลา บางคนนั่งในรถไม้ที่ลาลาก เสียงหัวเราะดังอย่างสนุกสนาน บางจุดตามทางก็มีกิจกรรมพายเรือเป็นกลุ่มหรือปีนผา และเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ที่ทุกคนจะออกไปเที่ยวหรือพักผ่อน มันก็น่าจะรวมถึงครอบครัวเจ้าของร้านค้าที่ปิดไปหมดด้วย ถ้าโชคดีเราอาจจะเจอร้านสะดวกซื้อซักแห่งที่เปิด..
มาถึงเมืองโดล์(Dole) เมืองใหญ่เอาตอนเย็น ร้านรวงปิดเกือบหมด โชคยังดีเจออยู่ 1 ร้านเป็นของคนเวียดนามที่ไม่หยุดตามกติกาสังคมยุโรป ร้านนี้ขายพวกข้าวผัด ปอเปี๊ยะผัก ฯลฯ อาหารกล่องไม่แพง กล่องเล็กๆ พออิ่มราคาประมาณ 7-8 ยูโร (ถ้านั่งร้านอาหารธรรมดาทั่วไปจะอยู่ที่จานละประมาณ 15 ยูโร) ร้านอาหารเอเชียที่เราเจอในเส้นทางนี้ มักจะมีเจ้าของร้านเป็นคนเวียดนาม แน่นอนว่าการพูดฝรั่งเศสของเวียดนามคล่องกว่าไทยหรือจีน ดูแล้วเลยไม่ค่อยมีคู่แข่งร้านอาหารเอเชียไปโดยปริยาย เมืองโดล์เป็นเมืองที่ดูอาร์ตๆ ฉันชอบความราบเรียบของผนังปูนสีเหลืองนวลและทรงตึกเหมือนภาพวาดโบราณ ถนนหนทางคนเดินพักผ่อนกันอย่างเงียบๆ บรรยากาศเมืองนี้ตอนกลางคืนคงจะดีมาก เสียดายว่าเราจองที่พักไว้แล้ว จุดหมายคือเมืองด็องปารี(Damparis) เป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่ไกลออกมาจากเมืองโดล์ประมาณสิบกิโลเมตร ที่พักคืนนี้น่าจะเป็นเจ้าของไร่นา โรงแรมมีสองชั้นมีห้องไม่มากอยู่ริมถนนชนบท เป็นที่พักที่สะอาดและสงบ เจ้าของตั้งใจต้อนรับแขกมาก มีเลี้ยงสัตว์น่ารักให้ดูเล่นอย่างแพะและกระต่าย สรุปวันนี้เราปั่นจากเมืองเบอซ็องซง มาถึงเมืองด็องปารี ประมาณ 75 กม.
Day 5 เมืองด็องปารี ไปเมืองแวร์คดัง ซูร เลอ ดู
วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้า เรายังอยู่รอให้ฝนซาในห้องอาหารที่อบอุ่นของโรงแรมเดอเมน เดอ ลา บอด ห้องอาหารนี้อยู่ชั้นล่าง มีอาหารเช้าเหมือนโรงแรมในฝรั่งเศสทั่วไป หลักๆ จะเป็นขนมปังบาแก็ต(baguette) ขนมปังแบบอื่นๆ แยม โยเกริ์ต ชา-กาแฟร้อน และผลไม้ ถ้าพิเศษหน่อยบางทีก็จะได้ไข่ต้ม มองไปอีกโต๊ะเห็นมีนักปั่นอีกคนนั่งรอเหมือนกัน ตัวใหญ่สูงจนหัวเกือบชิดเพดานราวสองเมตร ดูไม่ค่อยเหมือนคนฝรั่งเศส สำหรับคนฝรั่งเศสทั่วไป ฉันเห็นรูปร่างความสูงใกล้เคียงกับคนไทย ผู้ชายสูงราว 175 ซม. ผู้หญิงก็จะราวๆ 165 ซม. ใช้ฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก ภาษาอังกฤษแทบจะไม่เข้าใจเลย ทำยังไงดี นึกถึงตอนพาชาวต่างชาติไปเที่ยวในหมู่บ้านอีสาน ชาวบ้านชอบมาจับแขนมาพูดด้วย แม้จะรู้ว่าต่างคนคุยกันไม่เข้าใจ อาศัยแค่คำใบ้โบเบ้ แล้วก็หัวเราะขำกันไป ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นมิตรของทุกคน แม้ฝรั่งเศสมีคนบอกว่าไม่ค่อยยิ้มง่าย แต่ที่เราเจอมาก็ยิ้มกันเยอะมาก มีเจอหนึ่งคนไม่ยิ้มเลย แต่สุดแสนจะใจดีกับเรา นี่เองที่เรียกว่าบางครั้งดูหน้าไม่รู้ใจแต่รับรู้ได้ที่การกระทำ
สำหรับเส้นทางวันนี้ เปียก.. มีฝนทั้งวัน 7 ชั่วโมง ระยะทางกว่า 60 กิโลเมตร มีไฮไลต์เส้นทางคือสองข้างทางเป็นทุ่งมัสตาร์ดสุดลูกหูลูกตา ช่วงนี้มัสตาร์ดมีดอกสีเหลืองอยู่บ้างตามกิ่งก้าน แต่ส่วนใหญ่มีฝักแล้วแค่ยังไม่แก่ ฝรั่งเศสนอกจากไร่องุ่นแล้ว ไร่มัสตาร์ดนี่แหล่ะที่เราเห็นเป็นพืชเกษตรอันดับต้นๆ ในเส้นทาง ถึงเมืองแวร์คดัง ซูร เลอ ดู (Verdun-sur-le-Doubs) ช่วงเย็น เมืองนี้พิเศษคือแม่น้ำลัวร์กับแม่น้ำโซน(La Saône) ไหลมาบรรจบกัน มีสะพานข้ามมองเห็นชัดๆ ที่พักวันนี้เป็นชาวฝรั่งเศสเปิดบ้านทำ Bed and Breakfast แบ่งบางห้องให้แขกพักมีอาหารเช้าให้ บ้านหลังนี้น่ารักมาก ห้องพักถึงขั้นมีอ่างน้ำใจกลางห้อง เสียดายกลัวเป็นหวัด ไม่งั้นคงนอนแช่น้ำเล่น เป็นห้องที่เหมาะกับคู่รัก ถ้ามากับเพื่อนไม่แน่ใจ เพราะไม่มีม่านห้องน้ำเลย ฮา..