รถไฟจากอีสาน สู่หนทางแห่งตะวันตก ณ บ้านอีต่อง เหมืองแร่ปิล๊อก กาญจนบุรี
เราใช้รถด่วน CNR ออกจาก “สถานีขอนแก่น” เวลาประมาณเกือบสี่ทุ่ม ถึงหัวลำโพงประมาณเกือบ 7 โมงเช้า แล้วนั่งแท็กซี่ไปต่อรถไฟอีกขบวนที่ “สถานีธนบุรี” (เป็นรถไฟสายธรรมดาชั้นสาม ต้องมาซื้อตั๋วรถไฟที่นี่ มีเวลา 7.50 และ 13.55 ต้องเช็คเวปของการรถไฟก่อนทุกครั้ง) จุดหมาย คือ หมู่บ้านอีต่อง เหมืองแร่ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี แต่ด้วยทางไกลมาก จึงตัดสินใจหยุดพักคืนที่สองที่ “สถานีน้ำตก” สุดสายของทางรถไฟ ก่อนออกเดินทางต่อด้วยรถบัสไปที่อำเภอทองผาภูมิ และรถสองแถวสีเหลือง ไปที่หมู่บ้านอีต่อง เหมืองปิล็อก
ถ้าเราทันรถไฟจากสถานีธนบุรีช่วงเช้าก็จะไปถึงบ่ายที่สถานีน้ำตก ซึ่งจะมีโอกาสเห็นทั้งสะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานทางรถไฟสายมรณะ ได้ไปเล่นน้ำที่น้ำตกไทรโยคน้อย แต่ถ้าพลาดขบวนช่วงเช้า จะมีขบวนอีกทีก็เกือบบ่ายสอง ระหว่างนี้ ถ้าต้องไปรอรถไฟเที่ยวบ่ายแบบนานๆ แนะนำจากสถานีรถไฟธนบุรีจะมีรถสองแถวสีแดงสายศิริราชผ่านด้านหน้า สามารถไปนั่งทานข้าวรอได้ในแบบเย็นๆ ที่ รพ.ศิริราช ซึ่งห่างจากสถานีไปประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลา 15 นาที โดยจุดลงรถจะอยู่สุดสายสองแถว ตรงทางเลี้ยวกลับรถพอดี บริเวณนั้นนอกจากมีศูนย์อาหารใต้ตึกใหญ่ ก็จะมีพิพิธภัณฑ์ศิริราชอีกด้วย ถ้าต้องการร้านกาแฟมีอินเตอร์เน็ต ให้เดินตามทางรถที่ขึ้นลงตึกที่ด้านล่างเป็นศูนย์อาหารนั้นขึ้นไปที่ชั้นสองก็จะเจอกาแฟสตาร์บัคพอดี
เราออกจากสถานีธนบุรีบ่าย (ราคาถึงสถานีน้ำตก 42 บาท พอดีเราซื้อตั้วมาลงกาญจนบุรีที่ 25 บาท แต่เปลี่ยนใจขอนั่งต่อไปลงสถานีน้ำตก ซื้อตั๋วได้จากเจ้าหน้าที่รถไฟบนรถได้เลย จ่ายเพิ่มอีกเพียง 17 บาท) ระหว่างการเดินทางจะมองเห็นทั้งบ้านเรือนผู้คนตามรายทาง ทั้งไร่สวนจำพวก อ้อย มันสำปะหลัง มะละกอ กล้วย ฯลฯ ซึ่งเท่าที่เห็น มะละกอ ดูจะปลูกได้อุดมสมบูรณ์มากที่สุดจากผืนดินที่อยู่ใกล้เทือกเขาหินปูนเก่า แต่ดินชนิดนี้อาจจะมีผลทำให้มันสำปะหลังใบเล็กต้นเรียวยาวดูไม่ค่อยสมบูรณ์ หรืออาจจะเป็นคนละพันธุ์กับทางภาคอีสานก็ไม่ทราบ เพราะเห็นมีปลูกอยู่ปะปรายไม่มากเท่าพืชชนิดอื่นๆ ที่เห็นอยู่ข้างๆ ทางรถไฟ
นั่งรถไฟได้สามชม.ก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ประมาณ 5 โมงเย็น ส่วนสะพานมรณะถึงประมาณหกโมงกว่าๆ มองเห็นช่วงพระอาทิตย์ตกกำลังสวย แต่กว่าจะมาถึงสถานีน้ำตกก็ค่ำพอดี ก็เลยไม่ได้เห็นน้ำตกไทรโยคน้อย ยกเว้นถ้าตื่นแต่เช้ามาก ก็พอจะมีสิทธิ์ได้เดินไปดูน้ำตก
เพื่อที่จะรอต่อรถไปที่ อ.ทองผาภูมิ ซึ่งเป็นจุดขึ้นรถไปหมู่บ้านอีต่อง เราพักแถวสถานีน้ำตก 1 คืน ที่พักมีราคาประมาณตั้งแต่ 500-800 บาท ขึ้นไป หลายแห่ง เราเลือกนอนที่ เนินปากแซง รีสอร์ท เพราะใกล้สถานีรถไฟ ใกล้รถบัสที่ต้องรอขึ้นที่ถนนใหญ่ กลางคืนมีร้านอาหารปิดสองสามทุ่ม ใกล้กันก็มีร้านเซเว่น และเอทีเอ็ม
การจะเข้าไปที่พัก จากสถานีน้ำตก ถ้ากลางวันเดินไปเองได้ แต่กลางคืนมืดเหลือเกิน พอไปถึงสถานีรถไฟจะมีรถสองแถวจอดหลายคัน แต่สังเกตว่า เขาไม่เดินมาถามเราเหมือนที่อื่นๆ อาจจะรอว่ามีต่างชาติเดินทางมาไหมหรือถ้าเราสนใจก็คงเข้าไปถามเอง ถามได้ความว่าถ้ากลางวันคนเต็มรถถ้าไปแถวเซเว่นถนนใหญ่ก็ประมาณคนละ 20 บาท แต่ถ้ามาถึงกลางคืน มีคนลงสถานีปลายทางน้อยมากๆ ก็อาจจะต้อง เหมารถ หรือ คนละประมาณ 80 บาท หรือ มากกว่านั้น ราคาต้องคุยกับคนขับอีกทีหนึ่ง ส่วนเราโชคดีจากการจองที่พักล่วงหน้าแล้ว คุณลุงกับคุณป้าเจ้าของใจดีออกมารับเพราะเห็นว่าไม่ไกลจากที่พักมากนัก อีกทั้งก็คงเป็นห่วงที่เดินทางมาคนเดียวถึงมืดๆ ค่ำๆ ส่วนที่พักอื่นๆ เคยสอบถามไป ก็มีบางที่สะดวกมารับด้วยเช่นกัน นับว่าบริการที่พักแถวสถานีน้ำตกใจดีมาก จริงๆ จะว่าไปทั้งการช่วยเหลือและมีน้ำใจ รวมถึงการเอาใจใส่ต่อคนมาเที่ยว เป็นกันทั้งกาญจนบุรีเลยทีเดียว เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ
(ขากลับเราพักที่ ญาญี โฮมสเตย์ ใกล้สถานีน้ำตกและน้ำตกไทรโยคน้อย โฮมสเตย์มีอาหารตามสั่งและร้านขายของเล็กๆ และมีรถมอเตอร์ไซด์ให้เช่า)
พอเช้ามา ต้องออกมารอรถบัสก่อน 8.00 น. ไม่อย่างนั้นรถที่จะขึ้นไปหมู่บ้านอีต่องจะหมดก่อนที่เราจะไปถึง บริเวณที่รอรถบัสจะอยู่ที่ ศาลารถประจำทาง สามแยก ตรงข้ามป้อมตำรวจท่าเสา ราคารถบัสปรับอากาศจากสถานีน้ำตก-ทองผาภูมิ อยู่ที่ 70 บาท
รถบัสจะไปถึงที่ ตลาดทองผาภูมิ ประมาณ 10 โมงกว่าๆ และท่าขึ้นรถสองแถวสายเหลือง จะอยู่ด้านในตลาด เดินเลย 7-11 เข้าตลาดไปอีกหน่อยจะอยู่ทางด้านขวามือ มีคิวรถเหลืองหลายสาย แต่รถสองแถวสีเหลืองไปบ้านอีต่องจำนวนเที่ยวต่อวันไม่แน่นอน มีแค่ 3-4 คัน เริ่มตั้งแต่ 10.30 เป็นต้นไป ถึงบ่ายโมง แต่รถบางเที่ยวอาจถูกเหมาไปแล้วโดยเฉพาะเที่ยวหลัง 11.30 น. จึงควรมาถึงก่อน 11.30 น. ย้ำว่าต้องมาก่อน ถ้าไม่อยากนอนทองผาภูมิอีกคืน หรือต้องโบกรถไป ราคารถสองแถวสีเหลืองถึงบ้านอีต่องเพียง 70 บาท ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง
ส่วนกรณีที่ไม่ทันรถ มี 2 ทาง ที่ไปได้ คือ หารถเหมา ประมาณ 1500 บาท และ โบกรถ อาจอาศัยรถสองแถว สายทองผาภูมิ – บ้านไร่ ลงที่สามแยก จุดแยกไปบ้านไร่-บ้านปิล๊อก ลงจากรถแล้วเดินเลี้ยวไปเส้นทางบ้านปิล๊อก แล้วโบกรถต่อ ใช้เวลาเดินทางตามดวงชะตา ก็จะผ่านอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และสุดสายที่บ้านอีต่องเช่นกัน เพราะไม่มีทางเลี้ยวไปไหน
สำหรับรถสองแถวสายเหลือง หากลงไปเที่ยวอุทยาน ฯ เพื่อที่จะถ่ายรูปวิวเขาช้างเผือก ก็อาจจะต้องรีบกลับมาให้ทันรถเที่ยวต่อไปในอีกหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไม่ทันก็โบกรถได้ เพราะหมู่บ้านห่างจากอุทยานฯ ไปอีกเพียง 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 30 นาที
กรณีจะไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ หากจะพักค้างคืนมีเต็นท์บริการราคา 225 บาท นอนได้ 3-4 คน เครื่องนอนชุดละประมาณ 30 บาท แต่ถ้าต้องการสะอาดมากๆ จะมีค่าซักจากกลุ่มแม่บ้านเพิ่ม ถ้าเป็นบ้านพักจองออนไลน์จะมีเพียงสองหลังคือบ้านทองผาภูมิ ราคาหลังละ 1500 บาท ส่วนบ้านหลังอื่นๆ เช่น ทาซานบ้านต้นไม้ สอบถามได้โดยตรงกับอุทยานฯ เพราะปิดปรับปรุงบ่อยๆ ถ้าจะไปเที่ยวบ้านอีต่องต้องกลับออกจากอุทยานฯ ออกมารอรถประมาณเที่ยงครึ่ง รถสายเหลืองจากทองผาภูมิก็จะวิ่งมาถึงเราพอดี (จ่ายค่าสองแถวไป 30 บาท)
เมื่อมาถึงบ้านอีต่องแล้ว รถสองแถวก็จะจอดที่ตลาด อาจจะดูไม่เหมือนตลาดเท่าไหร่ แต่ก็มีเพียงถนนเส้นนี้เท่านั้นที่ขายของและมีร้านรวงทุกอย่างท่ามกลางหมู่บ้านที่มีประชากรประมาณหนึ่งพันกว่าคน หากจะหาที่พักที่บ้านอีต่อง ที่นี่มีที่พักมากมาย สามารถโทรจองออนไลน์หรือดูเลือกห้องพักในเพจได้สะดวก ราคาส่วนมากที่เห็นประมาณ 700-800 บาท เราเลือกพักที่ พิล็อก ฮิว เฮ้าส์ ห้องสะอาด และเจ้าของเป็นกันเอง มีอาหารเช้าให้ด้วย ถ้ามาวันธรรมดาก็จะราคาถูกกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับทุกห้องพักที่หมู่บ้านนี้จะไม่มีแอร์ อาศัยความเย็นจากเมฆหมอกเกือบทั้งวัน จริงๆ ช่วงฤดูฝน หาแสงแดดยากเพราะอยู่ในหมอก และอีกเหตุผลที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศเพราะที่นี่ใช้ไฟฟ้าได้จากพลังงานก๊าชธรรมชาติ ดังนั้นการพักอาศัยไม่ควรสูบบุหรี่ในที่พัก เพราะจะเข้าไปในห้องคนอื่นที่เปิดรับอากาศบริสุทธ์อย่างแน่นอน การจองที่พักควรจองล่วงหน้าเพราะจะเป็นโอกาสดีให้มีที่นอน โดยเฉพาะในวันหยุดคนนิยมมาเที่ยวหมู่บ้านจนอาจไม่ได้ที่พักที่เราชอบ สำหรับช่วงที่มีหมอกในหมู่บ้านคือ เริ่มมีฝนตก บางครั้งฝนก็เริ่มตกแล้วในเดือนเมษายน ทำให้มีเมฆหมอกเข้ามาสร้างบรรยากาศที่สวยงามดุจสวรรค์ของเหล่าเทพ อย่างที่ชื่อในอดีตเรียกว่า นัด-เอง-ต่อง หรือ ภูเขาแห่งสายหมอกอันเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า ที่นี่นอกจากเที่ยวบริเวณหมู่บ้านแล้ว ยังมีสถานที่ใกล้เคียง เช่น เนินขุนช้างศึก ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก อุโมงค์เหมือง พิพิธภัณฑ์เหมืองปิล๊อก มีหมู่บ้านอีปู่ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น เนินเสาธง(บริเวณท่อส่งก๊าซจากพม่า) ด่านชายแดนไทย-พม่า เป็นต้น
ขากลับ เนื่องจากมีรถออกจากหมู่บ้านน้อย และมีแค่เฉพาะช่วงเช้า เวลา 6.30, 7.00, 7.30 และ 8.00 น. บางเที่ยวก็ไม่มี ปลอดภัยสุดคือขึ้นรถก่อน 7.00 น. ซึ่งรถจะจอดรอที่ถนนตลาดอีต่อง พาวิ่งกลับไปที่ตลาดทองผาภูมิ ส่วนรถบัสกลับกาญจนบุรี สามารถขึ้นได้ที่ข้างเซเว่นหน้าตลาดทองผาภูมิ มีทั้งแบบแอร์และพัดลมสลับกันมา (หากจะลงเที่ยวระหว่างทาง เช่น น้ำพุร้อนหินดาด และช่องเขาขาด ก็มักจะได้เสียค่ารถบัสทีละ 30 บาทจากขึ้นจุดหนึ่งไปลงยังอีกจุดหนึ่ง) พอถึง บขส.กาญจนบุรีแล้ว สำหรับใครจะกลับกรุงเทพฯ หรือภาคอีสาน ก็สามารถขึ้นรถไฟได้ที่ สถานีรถไฟกาญจนบุรี ไปลง สถานีธนบุรี แล้วก็ค่อยขึ้นแท็กซี่ไปต่อรถไฟที่สถานีกรุงเทพ ฯ (หัวลำโพง) กลับสายอีสานได้ หรือหากจะต่อรถมินิบัสกลับกรุงเทพฯ เพื่อจะไประบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ สามารถซื้อตั๋วต่อที่ บขส. กาญจนบุรี หรือถ้าอยากไปรถบัสกาญจนบุรี เพื่อไปหนองคาย หรือ ขอนแก่น ก็มีเช่นกัน (ส่วนตัวผู้เขียนชอบนอนบนรถไฟ CNR มากกว่า แม้จะต้องกลับไปที่ กทม.)
การเที่ยวทริปนี้ ไปแบบไม่เร่งรีบ ได้มีเวลาเก็บสาระดีๆ ระหว่างการเดินทาง ได้พักผ่อนเต็มที่ อาจจะต้องมีเวลา 5-6 คืน รวมบนรถไฟด้วย ซึ่งหากวางแผนตั้งใจจะใช้รถไฟก็ต้องตรวจสอบเวลาหรือจองตั๋วจากทางเวปไซต์ของรถไฟโดยเฉพาะ CNR ขาไปหรือกลับอีสานที่มักเต็มบางครั้ง
ปล.การเดินทางโดยรถตู้ ผู้เขียนไม่ได้รีวิวเนื่องจากไม่ได้ใช้บริการ ขอให้ติดตามงานเขียนของท่านอื่นๆ ต่อไปค่ะ
รถบัสไป อ.เมือง กาญจนบุรี จอดข้างๆ เซเว่น
ตอนต่อไป จะเล่าถึงชาวอีสานในหมู่บ้านอีต่องและเมืองกาญจนบุรี เท่าที่เรามีโอกาสได้พบได้พูดคุยกัน รวมถึงสถานที่น่าสนใจอื่นๆ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ..
ผู้เขียน สุทธวรรณ บีเวอ
อีสานอินไซต์