สถาปัตยกรรมและธรรมชาติในชนบทและเมืองเล็กของฝรั่งเศส

สถาปัตยกรรมและธรรมชาติในชนบทและเมืองเล็กของฝรั่งเศส

* บันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเส้นทางจักรยาน EuroVelo 6 ในฝรั่งเศส (ตอนที่ 2)

** หากท่านใดสนใจส่วนหนึ่งของเส้นทางคณะราชทูตอยุธยาโกศาปานไปปารีส จะเริ่ม ตอนที่ 6

เส้นสีแดงคือเส้นทาง EuroVelo หมายเลข 6 / หมุดสีน้ำเงินคือ จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของการปั่นจักรยาน / กรอบสีชมพูคือเส้นทางที่บันทึกในตอนที่ 2

บันทึกเส้นทางปั่นจักรยาน EuroVelo 6 ตอนที่ 2 นี้ เริ่มจากเมืองแวร์เดิง ซูร เลอ ดู (Verdun-sur-le-Doubs) – เมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน (Saint-Bérain-sur-Dheune) – เมืองปาแร เลอ โมเนียล (Paray-le Monial) และเมืองบูร์บง ล็องซี (Bourbon-Lancy) (พักเมืองปาแร เลอ โมเนียล 2 คืน) 5 วัน รวมระยะทางประมาณ 183 กิโลเมตร

เมืองแวร์เดิง ซูร เลอ ดู ไปเมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน

จุดพบกันของแม่น้ำดูและแม่น้ำโซน

วันที่ 7 พฤษภาคม ออกจากเมือง แวร์เดิง ซูร เลอ ดู เมืองที่มีแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันคือ แม่น้ำดู (Doubs) และแม่น้ำโซน (Saône) โดยเส้นทางออกจากเมืองจะตามแม่น้ำโซนไปเรื่อยๆ สุดท้ายเจอน้ำท่วม มีป้ายแจ้งเตือนให้ใช้ทางเบี่ยงเข้าหมู่บ้านแทน

น้ำจากแม่น้ำโซนท่วมสูงขึ้นมาถึงทางจักรยาน ป้ายเขียนห้ามการจราจรทั้งหมดบนเส้นทางสีน้ำเงิน ในกรณีเกิดน้ำท่วม
ป้ายหน้าเขียน ให้อ้อม ส่วนป้ายหลังเขียน ถนนปิด

ระหว่างวันแดดดีมาก แต่เราก็โดนฝนอยู่ราวๆ ชั่วโมง ไร่มัสตาร์ดกว้างใหญ่ที่ปั่นผ่านเมื่อวานถูกแทนที่ด้วยผืนดินออกสีแดงดำที่กำลังเตรียมการเพาะปลูก มองเห็นผิวดินที่ร่วนซุยดูอุดมสมบูรณ์ ไม่มีรอยการเผาในพื้นที่การเกษตร คาดว่าเก็บผลผลิตแล้วก็ไถกลบเป็นปุ๋ยวน อากาศเลยดีมาก

ตลอดตามทางที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่พื้นที่ป่าข้างแม่น้ำก็ยังไม่เห็นพื้นที่เกษตรถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เลย

บางแปลงก็มีธัญพืชออกรวงแล้ว
บางแปลงเห็นเป็นทิวแถวต้นไม้ยาวไป คล้ายการทำไร่พวกไม้ยืนต้น คาดว่าเป็นต้นป๊อบลาร์ (Poplar) หรือฝรั่งเศสเรียก Peuplier (พุบพลิเย)
พืชนี้เป็นไม้เนื้อเบา มีเยื่อไม้สูง ทนทาน ใช้ทำกระดาษ กล่องบรรจุภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งบ้าน บ้านโบราณบางหลังก็เป็นไม้ป๊อบล่าร์แต่มีความทนทานและนิยมน้อยกว่าพวกไม้โอ๊คหรือไม้สน พวกป๊อบล่าร์ชอบพื้นที่ปลูกอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เติบโตค่อนข้างเร็ว 12 ปี ตัดเข้าโรงงานได้ หลังทำไร่ไม้พวกนี้เสร็จ เขาก็จะบดย่อยพวกเศษไม้ที่เหลือ เติมมอส ถ่านไม้ เพื่อปรับปรุงดินเตรียมการเพาะปลูกต่อ
ทุ่งเกษตรระหว่างทาง
ฟาร์มปศุสัตว์มองเห็นมีเลี้ยงไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นวัว

เรามาทานข้าวเที่ยงที่เมืองชาลง ซูร โซน (Chalon-sur-Saône) เมืองใกล้แม่น้ำโซน เป็นอาหารฮาลาน แล้วก็ปั่นเที่ยวในเมือง

ที่นี่มีวิหารและจัตุรัสสวยงาม เรียกได้ว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์และศิลปะ เพราะว่ามีอาคารโบราณที่ใช้เทคนิคแบบ half-timbered houses อยู่เยอะ

อาคารกึ่งไม้กึ่งปูนนี้ เป็นที่นิยมในยุโรปช่วงยุคกลางไปจนถึงศตวรรษที่ 18 ผนังอาคารจะโชว์ให้เห็นไม้ค้ำทำจากไม้โอ๊คทำเป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อกันในแนวตั้ง แนวนอน และแนวทะแยง และเติมเต็มช่องว่างระหว่างไม้ค้ำด้วยวัสดุผสม เช่น ปูนพลาสเตอร์ ไม้ระแนง อิฐ หรือเทคนิคการสานและโปะดิน (wattle and daub) คือ สานกิ่งไม้แล้วโปะฉาบผิวด้วยวัสดุผสมให้เกิดความเหนียวอย่างพวกดินเหนียว โคลน ทราย เยื่อไม้จากมูลสัตว์ ฟาง ฯลฯ

ผนังภายนอกมองเห็นโครงสร้างไม้ค้ำที่สร้างความแข็งแรง ผนังถูกฉาบเรียบเนียนสีตุ่นๆ ทำให้กลายเป็นผนังตึกที่มีเสน่ห์ การสร้างตึกแบบนี้ในอดีตเป็นที่นิยมหลายประเทศในยุโรป

เมืองชาลง ซูร โซน
จตุรัสใจกลางเมืองชาลง ซูร โซน
ตึกไม้กึ่งปูน เทคนิคแบบ half-timbered houses
ห้องน้ำสาธารณะอัตโนมัติ หรือ เซนนิเซท (la Sanisette) ในเมืองใหญ่ บางจุดเข้าฟรี ทำความสะอาดล้างทั้งห้องอัตโนมัติ มีการจับเวลาการเข้าไปทำธุระ ไม่รู้ว่าถ้าออกช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้จะเป็นอย่างไร
ทางข้างคลองน้ำยาวไปจนถึงเมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน ที่เราจะไปพักคืนนี้
เรือท่องเที่ยวในคลองน้ำ มีไม่มากเท่าเส้นทางแม่น้ำเทมส์ที่อังกฤษ
ทางจักรยานและสะพานคลองน้ำที่เดินเรือได้เหนือรางรถไฟสำหรับเรือสัญจร
ความลึกของสะพานคลองน้ำลอยฟ้าอยู่ราวๆ 4-5 เมตร
เปียกมาก ถ้าเจอสะพานตอนฝนหนักจะเป็นอะไรที่โชคดีสุด ช่วงเดือนนี้ต้องเตรียมทุกอย่างที่ช่วยกันฝน
ระหว่างทางมีบ้านเรือนเลียบตามคลองน้ำไปเรื่อยๆ

เรามาถึงเมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำดูน ทำระยะทางประมาณ 65 กม.

เราพักที่โรงแรมชื่อว่า Les 4 vents ลักษณะเป็นบ้านตึกในชนบท มีเจ้าของพูดได้เพียงภาษาฝรั่งเศส ดูเป็นมิตรมาก

เจ้าของบ้านให้การต้อนรับแล้วพาเข้าไปด้านใน พอผ่านประตูก็มองเห็นบันไดขึ้นชั้นบนอยู่แทบตรงหน้า มองไปด้านซ้ายขวาเห็นเหมือนเป็นที่พักเจ้าของบ้าน และห้องอาหาร

ที่ชั้นสองมีห้องนั่งเล่น เราเอาอาหารเย็นที่เป็นขนมเค้กมาทานที่นี่กัน เจ้าของบ้านจัดชุดชาให้ทำเอง แล้วให้ใช้จานชามแก้วที่เตรียมไว้ในลิ้นชักตู้ได้ตามสบาย

เจ้าของบ้านพาชมพื้นที่เลี้ยงไก่เล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังบ้าน บริเวณเลี้ยงไก่ปิดล้อมด้วยตาข่าย มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ให้ไก่นอน สูงประมาณหนึ่งเมตร กว้างยาวประมาณเมตรกว่า มีประตูทางเข้าด้านเดียว ด้านหน้ามีเหมือนเทอร์โมมิเตอร์ ติดฮีตเตอร์ไว้ให้ไก่สบาย

รุ่งเช้าเจ้าของบ้านก็เอาไข่สดๆ จากหลังบ้านมาต้มให้ใหม่ๆ ขนาดฟองเล็กเท่าๆ ไก่บ้านแถวบ้านเรา

ในเมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน
บ้านเก่าในเมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน
โรงแรม Les 4 vents เมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน
ห้องจอดจักรยานของโรงแรม
อาหารเช้าแบบนิยมทั่วไปที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมไว้ให้ ที่พิเศษคือมีแพนเค้กมาให้ด้วย

เมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน ไปเมืองปาแร เลอ โมเนียล์

วันที่ 8 พฤษภาคม ออกจากเมืองซาน เบร์อา ซูร ดูน แต่เช้า เจ้าของบ้านเดินมาส่งที่หน้าประตู ฉันยกมือไหว้ แล้วก็อธิบายว่า เป็นการไหว้ขอบคุณแบบคนไทย

เธอยิ้มหน้าบานพร้อมเสียงหัวเราะ เส้นใยความประหม่าด้านการสื่อสารที่กั้นอยู่จางหายไปในทันที การไหว้อย่างไทยดูมีความหมายมากกว่าคำว่า Thank you

เราจูงจักรยานออกมาได้สักหน่อย ฉันวนถ่ายรูปอะไรเล็กน้อยเพราะเห็นว่าน่ารัก พอมองมาอีกทีก็ไม่เห็นสามีแล้ว

ปั่นต่อมาถึงทางแยกเลยตัดสินใจเลี้ยวลงเนินเขา เพราะเมื่อวานเราตามแม่น้ำคลองน้ำมาตลอด จักรยานไหลลงไปอย่างฉิวสบายลัดเลาะตามบ้านคนห่างๆ ราวสองกิโลเมตร สายลมปะทะใบหน้าอย่างสดชื่น.. ค่ะ ฉันไปผิดทาง!

สามีส่ง SMS ตามหา แล้วส่งตำแหน่งมาให้ แน่นอนว่าทางแยกตรงนั้นต้องขึ้นเนินไป ปกติในการเดินทางเราจะแชร์ตำแหน่งกันในกลูเกิลแมป

แต่ทริปนี้เพราะว่าปั่นตามตามคลองก็เลยไม่ได้เปิดแชร์ ในว่าเพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่มือถือ กว่าจะปั่นบวกเดินเข็นรถขึ้นเขาให้ทันสามีทำเอาเหงื่อตก ดีว่าฝึกเข็นขึ้นดอยเชียงใหม่มาแล้ว

พอมาถึงยอดเนิน มองกลับลงไปเป็นวิวหมู่บ้านชนบท ฟาร์มม้า วัว ลา สองข้างทางเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ กระต่ายป่าฝูงเล็กๆ วิ่งกระโดดตัดหน้าไปมา

วันนี้ปั่นแล้วปวดเข่าซ้าย กว่าร่างกายจะปรับตัวทั้งก้นและเข่าให้เข้ากับจักรยานที่เช่ามาต้องใช้เวลาหลายวัน

ทัศนียภาพเนินเขาสลับกันไปของฝรั่งเศส
ชาวบ้านเอาป้ายชื่อหมู่บ้านกลับหัว ประท้วงนโยบายด้านการเกษตร มีให้เห็นหลายหมู่บ้าน
ประตูน้ำที่ระดับน้ำต่างระดับกันมาก มีให้เห็นตลอดสาย ดูคนขับเรือน่าจะเมื่อยเพราะแต่ละจุดไม่ไกลกัน คนใช้เรือต้องคล้องเรือ ปิดประตูน้ำ และรอน้ำเติมให้เต็มหรือลดระดับเพื่อไปอีกฟากเอง อันที่สุดยอดคือมันมีประตูน้ำหลายอันที่อยู่ใต้สะพานที่มีความสูงไม่มาก แถมความกว้างก็พอแค่ให้เรือผ่านแบบกระแทกเรือง่ายๆ เรือที่นี่เลยดูเยินๆ
ระหว่างทางร่มรื่นมาก
พิธีวางพวงมาลา วันหยุดชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 2
HONDA GL1800 A-8 จอดอยู่หน้าปราสาทแห่งหนึ่ง
บริเวณหลุมฝังศพ จะแยกจากหมู่บ้านและโบสถ์ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและไร่องุ่นที่เขารัก
ระหว่างทางมีฟาร์มเลี้ยงม้าหลายที่
ลา (Donkey)

เราถึงเมืองปาแร เลอ โมเนียล ในตอนเย็น ระยะทางวันนี้ประมาณ 72 กม.

ที่พักคืนนี้เราขอจองเพิ่มต่ออีกหนึ่งคืน เพราะเมืองที่คาดว่าจะปั่นไปไม่ว่าไกลหรือใกล้ในวันพรุ่งนี้ ล้วนห้องเต็มในวันหยุดยาว (วันหยุดชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 และวันต่อมาเป็นวันหยุดพระเยซูเสด็จกลับสวรรค์)

ใกล้จะวันหยุดยาวแบบนี้ ร้านอาหารมีแต่เครื่องดื่มขาย ไม่มีอาหารเลย ได้มันฝรั่งทอดมาตอนหกโมงเย็น ที่ยุโรปมีวันหยุดเยอะ ทั้งวันอาทิตย์ วันสำคัญ วันหยุดประท้วง ฯลฯ วันหยุดทีไรทุกอย่างแทบหยุดเคลื่อนไหว ต้องอัพเดทวันหยุดให้ดี ไม่อย่างนั้นหวุดหวิดจะไม่มีที่นอนและไม่มีอะไรให้กิน ถ้าไม่ใช่อยู่ในเมืองใหญ่ แถวสถานีรถไฟหรือใกล้ตู้ขนมหยอดเหรียญ ก็แทบไม่มีอาหารเลย

ที่นี่ช่างแตกต่างกับไทยในเรื่องอาหารอย่างลิบลับ การมายุโรปแบบท่องเที่ยว ต้องให้ความสำคัญและวางแผนการดำรงชีพหรือมีของกินที่ไม่พึ่งไมโครเวฟเก็บไว้บ้าง อย่างน้อยถ้าช่วงเช้าที่โรงแรมมีอาหารให้ ก็ไม่ลำบากมากนักในช่วงวันหยุดยาว

มีครั้งหนึ่งฉันให้ขนมพลังงานกับคนไร้บ้านที่นั่งขออยู่ข้างทาง ดูลุงแกดีใจมากกว่าได้เงินเหรียญในวันอาทิตย์ที่เขาหยุดร้านกันหมด

ที่พักคืนนี้ที่โรงแรม Grand Hotel de la Basilique ในเมืองปาแร เลอ โมเนียล
ทุกที่ที่เราเข้าพัก แม้จะเป็นโรงแรมโบราณที่มีทั้งไม้และพรม แต่กลับไม่มีกลิ่นอับเลย
ห้องอาบน้ำฝรั่งเศส ไม่มีม่านอีกแล้ว
อาหารเช้าของโรงแรมค่อนข้างมีหลากหลาย ขนมปังเป็นอาหารหลัก และพวกหวานๆ เช่น ครัวซ็อง (croissant) ขนมปังสอดไส้ช๊อกโกแลต ชีส ฯลฯ ทานกับกาแฟหรือชา

เที่ยวเมืองปาแร เลอ โมเนียล

เมืองปาแร เลอ โมเนียล แคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) เห็นมีคนมาท่องเที่ยวกันมากพอสมควร

ที่นี่มีตึกเก่าเยอะ ร้านรวงไม่มาก มีโบสถ์คาทอริคที่สวยงามอย่าง Basilica of the Sacred Heart of Jesus

โบสถ์คาทอลิค Basilique du Sacré-Cœur (Basilica of the Sacred Heart of Jesus)
ในโบสถ์จะมีบริเวณจุดเทียนบูชา ส่วนใหญ่ก็จะทำบุญค่าเทียนประมาณ 1-2 ยูโร สำหรับอันเล็ก เสียงวิบวับของเทียนทำให้รู้สึกใจสงบ
ภายในโบสถ์ Basilica of the Sacred Heart of Jesus
ภาพแกะสลักภายนอกโบสถ์
ย่านการค้าของเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์
กุหลาบโตดีเหมือนในประเทศอังกฤษ

หลังจากท่องเที่ยวในฝรั่งเศสได้ซักระยะ ด้วยการสื่อสารทางภาษาที่เราไม่เข้าใจกันเลย ไม่ว่าจะพูดอังกฤษหรือภาษาไทยด้วยก็มีค่าเท่ากัน ดังนั้นภาษามือ สายตา และการแสดงออกทางสีหน้า มันจะได้ใช้ก็คราวนี้ (ต้องเข้าใจว่าบางทีสถานการณ์ก็ไม่เอื้อให้คู่สนทนาเปิดใจรอเราใช้กลูเกิลเพื่อแปลภาษา)

วันนี้ฉันเข้าร้านขนม ร้านนี้คนเยอะ มีของแปลกๆ หลายอย่าง มองไปเห็นถั่วอัลม่อนเคลือบน้ำตาลในโถน่ากินมาก กำลังเล็งว่าจะเอายังไง มีที่ตักไหม ถุงอยู่ไหน วนหาซักพักก็เลยเจอในช่อง พอหยิบขึ้นมา พนักงานมองเห็นแล้วพูดรัวๆ พร้อมทำมือโบ๊ๆเบ๊ๆ

หลังจากฝึกปรือมาหลายประเทศ สมองก็เริ่มแปรสัญญานเราต้องทำอะไรผิดซักอย่าง มีสติทันทีว่า อย่าตกใจจนกะละมังถังแตก มันจะอดกิน

วิธีการคือ หนึ่ง จงวางถุงนั้นลงก่อน สองถามออกไปว่า “ดูยูสปิ๊กอิงลิส” สามถ้าอยู่บนความโชคดีเมื่อเขาบอกว่า ได้นิดหน่อย (มันจะนิดหน่อยจริงๆ) รีบชิงถามไปว่า อยากได้ของในขวดนั้นแล้วชี้ไป ไม่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ ก็จะได้ของในกระปุก

ข้อสี่ พนักงานไม่รู้ว่าต้องการเท่าไร โดยเฉพาะตัวเลขออกเสียงไม่เหมือนกัน ชูนิ้วบอกก็ไม่น่ารอด ร้านนี้ชำนาญเดินมาที่โต๊ะเขียนตัวเลขจำนวนกรัมบนกระดาษ แล้วสบตาถาม

ฉันตอบโอเคและยิ้มพยักหน้า นางเดินมาหยิบถุงใส่ถั่วไปชั่งให้ คนหนึ่งได้ตังค์ คนหนึ่งได้ขนมรอยยิ้มบานๆ ก็ดูเหนื่อยอยู่นะกว่าจะได้กิน (ฮา)

สำหรับร้านอาหาร เข้าประตูไปแล้ว ควรยืนรอบริเวณประตูซักพัก (เห็นโต๊ะว่างก็อย่าเพิ่งนั่ง แนะนำให้รอถามก่อนถ้าไม่ใช่ร้านฟาสต์ฟูด) บางร้านมีป้ายจองทุกโต๊ะไปหมด (จริงๆ ก็อาจจะว่าง) แม้พนักงานที่ยืนอยู่อาจยังไม่มาต้อนรับ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาไม่ต้อนรับ อาจกำลังมีการแบ่งงานว่าใครเป็นคนต้อนรับอยู่ ให้พยายามสบตาพนักงานทัก “บองชู” ไปก่อน พอเขามา ค่อยบอกจำนวนคนไป บางครั้งเห็นเขาหรือเธอยกป้ายจองที่โต๊ะออกให้แล้วเชิญนั่ง (ร้านจัดระเบียบลูกค้านี่เอง)

ถ้าโชคดี ร้านอาจมีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ ลองจำคำศัพท์ เนื้อ ปลา ไก่ หรือเวจจี้ จะหาของที่ชอบได้เร็ว (แม้จะมีพี่กลูเกิลช่วยแปลแต่ก็ยังเพิ่มความเร็วได้มากอยู่) แต่ส่วนมากสามารถเลือกอาหารได้ตั้งแต่ก่อนเข้าร้าน เพราะเขาจะติดเมนูอาหารและราคาที่บริเวณหน้าร้านไว้ให้แล้ว

ร้านอาหารในฝรั่งเศสมักจะยกน้ำดื่มมาให้ฟรีเสมอ ส่วนประเทศอื่นๆ ในยุโรปค่าน้ำเปล่าขวดใหญ่เกือบ 2 ยูโร

และสุดท้ายในวัฒนธรรมการกินพิซซ่าที่ฝรั่งเศส แม้คนอเมริกันจะมีวิถีของพิซซ่าโดยใช้มือ แต่พอมาเที่ยวฝรั่งเศสก็จะแอบดูเหมือนกันว่าเขากินพิซซ่ากันแบบไหน

ดูไปดูมาก็เหมือนใช้มีดกับส้อม แต่สุดท้ายใช้มือ (อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน) ก็เลยตามเลยคนอื่นแล้วกัน อันที่จริงใช้มีดก็ดีแล้ว มันไม่เปื้อน (คนไทยอย่างฉันคิด)

กลับมาเดินเมืองกันต่อ…

ย่านบ้านโบราณ มีการซ่อมแซมแต่ยังคงร่องรอยไว้ เพื่อแสดงให้เห็นวิธีการก่อสร้างในยุคโบราณ

ภาพอธิบายโครงสร้างบ้านโบราณ ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 3 อย่างคือ เสา (แนวตั้ง วางโหลดจากระดับบนลงล่าง) คานหรือแผ่นพื้น (แนวนอนรองรับเพดานและพื้น นอกเหนือจากการถ่ายน้ำหนักไปยังเสา) แบบเฉียงหรือทะแยง (รับผิดชอบต่อความแข็งแกร่งของการก่อสร้าง) แต่ละชิ้นประกอบเข้ากันด้วยเดือยไม้

ตึกโบราณตอนนี้เป็นโรงแรม สถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์ ของเมืองปาแร เลอ โมเนียล
 St. Nicholas Tower
วันนี้ฉันทานเส้นพาสต้าแบบญ็อกกี้ (Gnocchi) กับซอสเพสโต (Pesto Sauce) ใส่เมล็ดสน (Pine nuts) น่าจะอยู่ในร้านอิตาเลียน เมล็ดสนเป็นเม็ดเล็กๆ สีขาวใหญ่กว่าเมล็ดทานตะวันเล็กน้อย เป็นที่นิยมในยุโรป มักใส่สลัดผัก และซอสเพสโต
เราไปดูงานศิลปะโมเสกที่ Maison de la mosaique contemporaine หรือ House Mosaique Contemporaine เป็นสถานที่สอนการทำโมเสกที่มีชื่อเสียง ที่นี่เราสามารถชมสตูดิโอเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานได้ด้วย

จากเมืองปาแร เลอ โมเนียล ไปเมืองบูร์บง ล็องซี

Grey Heron นกกระสานวล ตัวสูงใหญ่ พบอยู่ทั่วไปตามริมคลองน้ำ
ระหว่างทาง อันร่มรื่น

วันที่ 10 พฤษภาคม เราออกจากเมืองปาแร เลอ โมเนียล ประมาณ 9 โมงเช้า

การเดินทางวันนี้เรียบๆ เลาะริมคลองน้ำ ไม่มีฝน ปั่นไปได้ไม่นานเริ่มร้อนจนต้องถอดเสื้อกันลมออก แล้วหันมาใส่เป็นเสื้อกันแดดบางๆ แทน

เรามาได้ประมาณหนึ่งส่วนสามของเส้นทางในวันนี้ ก็มาถึงเมืองดีกวน (Digoin) มองเห็นคลองน้ำข้ามฟากสำหรับเรือสัญจร (Le pont canel) ที่ถูกออกแบบให้ยกระดับเหนือแม่น้ำลัวร์ ช่วยให้เรือเล็กสามารถข้ามแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกรากได้อย่างง่ายดาย

สิ่งก่อสร้างชนิดนี้มีมาตั้งแต่ปี 1838 (เกือบสองร้อยปีก่อน) ใช้เวลาก่อสร้างอยู่ 4 ปีถึงเสร็จ มีความยาว 243 เมตร มี 11 ซุ้มโค้ง สะพานอยู่เหนือแม่น้ำราว 12 เมตร ความกว้างของคลองน้ำไม่มากแค่ 6 เมตร มองดูแคบๆ แต่เรือก็ผ่านได้

เบื้องล่างคือแม่น้ำลัวร์มีสีขุ่นข้นและกระแสน้ำที่แรง อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ฤดูร้อน
สะพานคลองน้ำเดินเรือข้ามฟากสำหรับเรือสัญจร (Le pont canel) เหนือแม่น้ำลัวร์
ดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ตามทาง
ทุ่งเต็มไปด้วยสีเหลืองของดอกไม้
อาจจะเป็นพวก common broom พืชพื้นเมืองที่บานช่วงพฤษภาคม

วันนี้เดินทางประมาณ 46 กม. เริ่มเวลาเก้าโมงครึ่งมาถึงเมืองบูร์บง ล็องซี ราวบ่ายสาม โรงแรมที่จะพักคืนนี้ เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราเก่าแก่ ชื่อว่า Grand Hôtel

การที่เมืองนี้มีโรงแรมโบราณขนาดใหญ่ อาจจะมาจากการที่เมืองบูร์บง ล็องซี เป็นที่นิยมในการมาพักผ่อน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบการทำสปา เพราะเมืองนี้มีธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการทำโรงอาบน้ำร้อนที่ได้น้ำจากน้ำพุร้อน และมีการทำสปาธรรมชาติเพื่อสุขภาพและการบำบัดมาตั้งแต่ในอดีต และปรับปรุงรูปแบบปัจจุบันให้ทันสมัย

โรงแรม Grand Hôtel อยู่ใกล้กับสถานที่ทำสปาน้ำพุร้อน
ห้องนั่งเล่นที่รักษาความคลาสิกของโรงแรมไว้
โรงแรม Grand Hôtel ในอดีต
อาหารเช้าของโรงแรมมี Lunch meat หรือ cold cuts เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารและทำให้แห้งด้วยการหมักเกลือหรือรมควัน สีสันสวยงามยังดูราวกับเป็นเนื้อสด สำหรับทานกับขนมปัง นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมในฝรั่งเศสทานกับไวน์และชีส โดยจัดเซ็ตของเนื้อแบบต่างๆ ร่วมกับ เบคอน แฮม ไส้กรอก วางในถาดอย่างหรูหรา เรียกเมนูนั้นว่า ฉาคคูเทอรี (charcuterie)

การไปชมบ้านเรือนยุคโบราณของเมืองบูร์บง ล็องซี เนื่องจากโรงแรมเราอยู่ตีนเขาลูกเตี้ยๆ ก็เลยต้องไต่ตามทางเดินแคบๆ ขึ้นเขาไป ไม่นานเราก็พบกับกลุ่มอาคารโบราณที่เหมือนกับเมืองในเทพนิยาย บางส่วนผุพังตามกาลเวลา เจ้าของอาคารเลือกที่จะอนุรักษ์ไว้แบบปูนเปลือย ก็เลยทำให้มองเห็นเทคนิคการสร้างบ้านแบบโบราณชัดเจน

ตามถนนหนทางของเมืองปูด้วยหินกรวด บรรยากาศบ้านเรือนผู้คนเงียบสงบ ร้านรวงก็ยังไม่เปิด เลยมีพื้นที่ให้ดื่มด่ำกับศิลปะเล็กๆ น้อยๆ ที่ประดับอยู่ตามอาคารอย่างเต็มที่

บ้านของชาวบูร์บง (la Maison Sévigné) หลังนี้เป็นอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ ได้รับการวิเคราะห์ว่ามีอายุราว 550 ปี อาจสร้างในช่วงปี พ.ศ.1468-1470 มีการดูแลรักษาฟื้นฟูมาโดยตลอด
ตึกโบราณที่ผุผัง เผยให้เห็นองค์ประกอบโครงสร้างภายใน
ชาวฝรั่งเศสนิยมรับประทานหอยทากอันดับต้นๆ ของโลก

เราเดินไปจนสุดทาง ผ่านประตูหินออกไปด้านนอก เบื้องหน้าเผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่าง เป็นอีกฝั่งของเมืองที่มีสีเขียวขจี

ถนนที่มีเสน่ห์ของเมืองบูร์บง ล็องซี
วิวเบื้องล่างเมือง

….จบตอนที่ 2 จ้า

อ่านต่อ ตอนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7,…

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *