สถาปัตยกรรมและธรรมชาติในชนบทและเมืองเล็กของฝรั่งเศส
บันทึกการเดินทางเส้นทางจักรยาน EuroVelo 6 ในฝรั่งเศส และส่วนหนึ่งของเส้นทางคณะราชทูตอยุธยาโกศาปานไปปารีส พ.ศ.2229 (ตอน 2)
ในตอนที่ 2 นี้ บันทึกเส้นทางปั่นจักรยาน EuroVelo หมายเลข 6 จากเมือง แวร์คดัง ซูร์ เลอ ดู (Verdun sur le Doubs) – เมืองซาน เบฮา ซูร์ ดูน (Saint-Bérain sur-Dheune) – เมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์ (Paray le Monial) และเมืองบูร์บง ล็องซี (Bourbon-Lancy) (พักเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์ 2 คืน) 5 วัน รวมระยะทางช่วงนี้ประมาณ 183 กิโลเมตร **หมายเหตุ ใครตามดูเส้นทางคณะราชทูตให้รอตอนที่ 6 อยู่ระหว่างจัดทำค่ะ
เมืองแวร์คดัง ซูร์ เลอ ดู ไปเมืองซาน เบฮา ซูร์ ดูน
วันที่ 7 พฤษภาคม ออกจากเมือง แวร์คดัง ซูร์ เลอ ดู (Verdun-sur-le-Doubs) เมืองที่มีแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันคือ แม่น้ำดู (Doubs) และแม่น้ำโซน (Saône) โดยเส้นทางออกจากเมืองจะตามแม่น้ำโซนไปเรื่อยๆ สุดท้ายเจอน้ำท่วม มีป้ายแจ้งเตือนให้ใช้ทางเบี่ยงเข้าหมู่บ้านแทน
ระหว่างวันแดดดีมาก แต่เราก็โดนฝนอยู่ราวๆ ชั่วโมง ไร่มัสตาร์ดกว้างใหญ่ที่ปั่นผ่านเมื่อวานถูกแทนที่ด้วยผืนดินออกสีแดงดำที่กำลังเตรียมการเพาะปลูก มองเห็นผิวดินที่ร่วนซุยดูอุดมสมบูรณ์ ไม่มีรอยการเผาในพื้นที่การเกษตร คาดว่าเก็บผลผลิตแล้วก็ไถกลบเป็นปุ๋ยวน อากาศเลยดีมาก และตลอดตามทางที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่พื้นที่ป่าข้างแม่น้ำก็ยังไม่เห็นพื้นที่เกษตรถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เลย
เรามาทานข้าวเที่ยงที่เมืองชาลง ซูร์ โซน (Chalon-sur-Saône) เมืองใกล้แม่น้ำโซน เป็นอาหารฮาลาน แล้วก็ปั่นเที่ยวในเมือง ที่นี่มีวิหารและจัตุรัสสวยงาม เมืองนี้น่าสนใจตรงที่เรียกกันว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์และศิลปะ เพราะว่ามีอาคารโบราณที่ใช้เทคนิคแบบ half-timbered houses อยู่เยอะ อาคารกึ่งไม้กึ่งปูนนี้เป็นที่นิยมในยุโรปช่วงยุคกลางไปจนถึงศตวรรษที่ 18 ผนังอาคารจะโชว์ให้เห็นไม้ค้ำทำจากไม้โอ๊คทำเป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อกันในแนวตั้ง แนวนอน และแนวทะแยง และเติมเต็มช่องว่างระหว่างไม้ค้ำด้วยวัสดุผสม เช่น ปูนพลาสเตอร์ ไม้ระแนง อิฐ หรือเทคนิคการสานและโปะดิน (wattle and daub) คือ สานกิ่งไม้แล้วโปะฉาบผิวด้วยวัสดุผสมให้เกิดความเหนียวอย่างพวกดินเหนียว โคลน ทราย เยื่อไม้จากมูลสัตว์ ฟาง ฯลฯ ผนังภายนอกมองเห็นโครงสร้างไม้ค้ำที่สร้างความแข็งแรง ผนังถูกฉาบเรียบเนียนสีตุ่นๆ ทำให้กลายเป็นผนังตึกที่มีเสน่ห์ การสร้างตึกแบบนี้ในอดีตเป็นที่นิยมหลายประเทศในยุโรป
เรามาถึงเมืองซาน เบฮา ซูร์ ดูน (Saint-Bérain-sur-Dheune) อยู่ใกล้แม่น้ำดูน จากเมื่อเช้าปั่นมาได้ระยะทางประมาณ 65 กม. เราพักที่โรงแรมชื่อว่า Les 4 vents ลักษณะเป็นบ้านตึกในชนบทที่มีเจ้าของพูดได้เพียงภาษาฝรั่งเศส ดูเป็นมิตรมาก เจ้าของบ้านให้การต้อนรับแล้วพาเข้าไปด้านใน พอผ่านประตูก็มองเห็นบันไดขึ้นชั้นบนอยู่แทบตรงหน้า มองไปด้านซ้ายขวาเห็นเหมือนเป็นที่พักเจ้าของบ้าน และเป็นพื้นที่ทานอาหารเช้าของเราในวันถัดมาด้วย ที่ชั้นสองมีห้องนั่งเล่น เราเอาอาหารเย็นที่เป็นขนมเค้กมาทานที่นี่กัน เจ้าของบ้านจัดชุดชาให้ทำเอง แล้วให้ใช้จานชามแก้วที่เตรียมไว้ในลิ้นชักตู้ได้ตามสบาย เจ้าของบ้านพาชมพื้นที่เลี้ยงไก่เล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังบ้าน บริเวณเลี้ยงไก่ปิดล้อมด้วยตาข่าย มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ให้ไก่นอน สูงประมาณหนึ่งเมตร กว้างยาวประมาณเมตรกว่า มีประตูทางเข้าด้านเดียว ด้านหน้ามีเหมือนเทอร์โมมิเตอร์ ติดฮีตเตอร์ไว้ให้ไก่สบาย ตอนเช้าเจ้าของบ้านเอาไข่สดๆ จากหลังบ้านมาต้มให้ใหม่ๆ ขนาดฟองเล็กเท่าๆ ไก่บ้านแถวบ้านเรา
เมืองซาน เบฮา ซูร์ ดูน ไปเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์
วันที่ 8 พฤษภาคม ออกจากเมืองซาน เบฮา ซูร์ ดูน (Saint-Bérain-sur-Dheune) แต่เช้า เจ้าของบ้านออกมาส่งที่หน้าประตู ข้าพเจ้ายกมือไหว้ แล้วก็อธิบายว่า เป็นการไหว้ขอบคุณแบบคนไทย เจ้าของบ้านหน้ายิ้มพร้อมหัวเราะ เส้นใยความประหม่าด้านการสื่อสารที่กั้นอยู่จางหายไปในทันที การไหว้อย่างไทยดูมีความหมายมากกว่าคำว่า Thank you
เราจูงจักรยานออกมาได้สักหน่อย ข้าพเจ้าวนถ่ายรูปอะไรเล็กน้อยเพราะเห็นว่าน่ารัก พอมองมาอีกทีก็ไม่เห็นสามีแล้ว ปั่นต่อมาถึงทางแยกเลยตัดสินใจเลี้ยวลงเนินเขา เพราะเมื่อวานเราตามแม่น้ำคลองน้ำมาตลอด จักรยานไหลลงไปอย่างฉิวสบายลัดเลาะตามบ้านคนห่างๆ กันราวสองกิโลเมตร สายลมปะทะใบหน้าอย่างสดชื่น.. แต่ไปผิดทาง!
สามีส่ง SMS ตามหา แล้วส่งตำแหน่งมาให้ แน่นอนว่าทางแยกตรงนั้นต้องขึ้นเนินไป ปกติในการเดินทางเราจะแชร์ตำแหน่งกันในกลูเกิลแมป แต่ทริปนี้เพราะว่าปั่นกันตามตามคลองก็เลยไม่ได้เปิดแชร์เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่มือถือ กว่าจะปั่นบวกเดินเข็นรถขึ้นเขาให้ทันสามีทำเอาเหงื่อตก ดีว่าฝึกเข็นขึ้นดอยเชียงใหม่มาแล้ว
พอมาถึงยอดเนิน มองกลับลงไปเป็นวิวหมู่บ้านชนบท ฟาร์มม้า วัว ลา สองข้างทางเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ กระต่ายป่าฝูงเล็กๆ วิ่งตัดหน้าไปมา วันนี้ปั่นแล้วปวดเข่าซ้าย กว่าร่างกายจะปรับตัวทั้งก้นและเข่าให้เข้ากับจักรยานที่เช่ามาต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว
เราถึงเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์ (Paray-le-Monial) ในตอนเย็น ระยะทางวันนี้ประมาณ 72 กม. ที่พักคืนนี้เราขอจองเพิ่มต่ออีกหนึ่งคืน เพราะเมืองที่คาดว่าจะปั่นไปถึงไม่ว่าไกลหรือใกล้ในวันพรุ่งนี้ ล้วนห้องเต็มในวันหยุดยาว (วันหยุดชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 และวันต่อมาเป็นวันหยุดพระเยซูเสด็จกลับสวรรค์) ร้านอาหารมีแต่เครื่องดื่มขาย ไม่มีอาหารเลย ได้มันฝรั่งทอดมาตอนหกโมงเย็น ที่ยุโรปมีวันหยุดเยอะ ทั้งวันอาทิตย์ วันสำคัญ วันหยุดประท้วง ฯลฯ วันหยุดทีไรทุกอย่างแทบหยุดเคลื่อนไหว ถ้าไม่เช็คอัพเดทวันหยุดให้ดี หวุดหวิดจะไม่มีที่นอนและไม่มีอะไรให้กิน ถ้าไม่ใช่อยู่ในเมืองใหญ่ แถวสถานีรถไฟ หรือใกล้ตู้อาหารขนมหยอดเหรียญ อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีการวางแผนที่ดี บางทีก็ต้องซื้อล่วงหน้าไว้ วันหยุดครั้งก่อนให้ขนมพลังงานกับคนไร้บ้านที่นั่งขออยู่ข้างทาง ดูลุงแกดีใจมากกว่าได้เงินเหรียญในวันอาทิตย์ที่เขาหยุดร้านกันหมด
เที่ยวเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์
เมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์ (Paray-le-Monial) แคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) ของฝรั่งเศส เห็นมีคนมาท่องเที่ยวกันมากพอสมควร เป็นเมืองที่มีตึกเก่าเยอะ ร้านรวงไม่มาก มีโบสถ์คาทอริคที่สวยงามอย่าง “Basilica of the Sacred Heart of Jesus”
หลังจากท่องเที่ยวในฝรั่งเศสได้ซักระยะ ด้วยการสื่อสารทางภาษาที่เราไม่เข้าใจกันเลย ไม่ว่าจะพูดอังกฤษหรือภาษาไทยด้วยก็มีค่าเท่ากัน ดังนั้นภาษามือ สายตา และการแสดงออกทางสีหน้า มันจะได้ใช้ก็คราวนี้ (ต้องเข้าใจว่าบางทีสถานการณ์ก็ไม่เอื้อให้คู่สนทนาเปิดใจรอเราใช้กลูเกิลเพื่อแปลภาษา)
วันนี้ข้าพเจ้าเข้าร้านขนม ร้านนี้คนเยอะ มีของแปลกๆ หลายอย่าง มองไปเห็นถั่วอัลม่อนเคลือบน้ำตาลในโถน่ากินมาก กำลังเล็งว่าจะเอายังไง มีที่ตักไหม ถุงอยู่ไหน วนหาซักพักก็เลยเจอในช่อง พอหยิบขึ้นมา พนักงานมองเห็นแล้วพูดรัวๆ พร้อมทำมือโบ๊ๆเบ๊ๆ หลังจากฝึกปรือมาหลายประเทศ สมองก็เริ่มแปรสัญญานเราต้องทำอะไรผิดซักอย่าง ให้มีสติทันทีว่า อย่าตกใจจนกะละมังถังแตก มันจะอดกิน วิธีการคือ หนึ่ง เจ้าจงวางถุงนั้นลงก่อน สองถามออกไปว่า “ดูยูสปิ๊กอิงลิส” สามถ้าอยู่บนความโชคดีเมื่อเขาบอกว่า ได้นิดหน่อย (มันจะนิดหน่อยจริงๆ) รีบชิงถามไปว่า อยากได้ของในขวดนั้นแล้วชี้ไป ไม่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ ก็จะได้ของในกระปุกนั้นแน่นอน ข้อสี่ พนักงานไม่รู้ว่าต้องการเท่าไร โดยเฉพาะตัวเลขออกเสียงไม่เหมือนกัน ชูนิ้วบอกก็ไม่น่ารอด ร้านนี้ชำนาญเดินมาที่โต๊ะเขียนตัวเลขจำนวนกรัมบนกระดาษ แล้วสบตาถาม ข้าพเจ้าตอบโอเคและยิ้มพยักหน้า นางเดินมาหยิบถุงใส่ถั่วไปชั่งให้ คนหนึ่งได้ตังค์ คนหนึ่งได้ขนม มีรอยยิ้มบานๆ ทั้งสองคน ก็ดูเหนื่อยอยู่นะกว่าจะได้กิน(ฮา)
สำหรับร้านอาหาร เข้าประตูไปแล้ว ควรยืนรอบริเวณประตูซักพัก (เห็นโต๊ะว่างก็อย่าเพิ่งนั่ง แนะนำให้รอถามก่อนถ้าไม่ใช่ร้านฟาสต์ฟูด) บางร้านมีป้ายจองทุกโต๊ะไปหมด (จริงๆ ก็อาจจะว่าง) แม้พนักงานที่ยืนอยู่อาจยังไม่มาต้อนรับ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาไม่ต้อนรับ อาจกำลังมีการแบ่งงานว่าใครเป็นคนต้อนรับอยู่ ให้สบตาพนักงานทัก “บองชู” ไปก่อน พอเขามา ค่อยบอกจำนวนคนไป บางครั้งเห็นเขาหรือเธอยกป้ายจองที่โต๊ะออกให้แล้วเชิญนั่ง(ร้านจัดระเบียบลูกค้านี่เอง) ถ้าโชคดีอาจมีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าไม่มีให้จำคำศัพท์ เนื้อ ปลา ไก่ หรือเวจจี้ จะหาของที่ชอบได้เร็ว (แม้จะมีพี่กลูเกิลช่วยแปลแต่ก็ยังเพิ่มความเร็วได้มากอยู่) แต่ส่วนมากสามารถเลือกอาหารได้ตั้งแต่ก่อนเข้าร้าน เพราะเขาจะติดเมนูอาหารและราคาที่บริเวณหน้าร้านไว้ให้แล้ว ร้านอาหารในฝรั่งเศสมักจะยกน้ำดื่มมาให้ฟรีเสมอ ส่วนประเทศอื่นๆ ในยุโรปค่าน้ำเปล่าขวดใหญ่เกือบ 2 ยูโร
และสุดท้ายในวัฒนธรรมการกินพิซซ่าที่ฝรั่งเศส แม้คนอเมริกันจะมีวิถีของพิซซ่าโดยใช้มือ แต่พอมาเที่ยวฝรั่งเศสก็จะแอบดูเหมือนกันว่าเขากินพิซซ่ากันแบบไหน ดูไปดูมาก็เหมือนใช้มีดกับส้อม แต่สุดท้ายใช้มือ(อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน) ก็เลยตามเลยคนอื่นแล้วกัน อันที่จริงใช้มีดก็ดีแล้ว มันไม่เปื้อน (คนไทยอย่างข้าพเจ้าคิด)
อธิบายโครงสร้างบ้าน ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 3 อย่างคือ เสา (แนวตั้ง วางโหลดจากระดับบนลงล่าง) คานหรือแผ่นพื้น (แนวนอนรองรับเพดานและพื้น นอกเหนือจากการถ่ายน้ำหนักไปยังเสา) แบบเฉียงหรือทะแยง (รับผิดชอบต่อความแข็งแกร่งของการก่อสร้าง) แต่ละชิ้นประกอบเข้ากันด้วยเดือยไม้
จากเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์ ไปเมืองบูบง ลองซี
วันที่ 10 พฤษภาคม เราออกจากเมืองปาเคร เลอ โมเนียอัลล์ ประมาณ 9 โมงเช้า การเดินทางวันนี้เรียบๆ เลาะริมคลองน้ำ ไม่มีฝน ปั่นไปได้ไม่นานเริ่มร้อนจนต้องถอดเสื้อกันลมออก แล้วหันมาใส่เป็นเสื้อกันแดดบางๆ แทน
เรามาได้ประมาณหนึ่งส่วนสามของเส้นทางในวันนี้ ก็มาถึงเมืองดีกวน (Digoin) มองเห็นคลองน้ำข้ามฟากสำหรับเรือสัญจร (Le pont canel) ที่ถูกออกแบบให้ยกระดับเหนือแม่น้ำลัวร์ ช่วยให้เรือเล็กสามารถข้ามแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกรากได้อย่างง่ายดาย สิ่งก่อสร้างนี้มีมาตั้งแต่ปี 1838 (เกือบสองร้อยปีก่อน) ใช้เวลาก่อสร้างอยู่ 4 ปีถึงเสร็จ มีความยาว 243 เมตร มี 11 ซุ้มโค้ง สะพานอยู่เหนือแม่น้ำราว 12 เมตร ความกว้างของคลองน้ำไม่มากแค่ 6 เมตร มองดูแคบๆ แต่เรือก็ผ่านได้
วันนี้ปั่นประมาณ 46 กม. ตั้งแต่เก้าโมงครึ่งมาถึงเมืองบูร์บง ล็องซี (Bourbon-Lancy) ราวบ่ายสาม โรงแรมที่จะพักคืนนี้ เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราเก่าแก่ชื่อว่า Grand Hôtel การที่เมืองนี้มีโรงแรมโบราณขนาดใหญ่ อาจจะมาจากการที่เมืองบูร์บง ล็องซี เป็นที่นิยมในการมาพักผ่อน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบการทำสปา เพราะเมืองนี้มีธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการทำโรงอาบน้ำร้อนที่ได้น้ำจากน้ำพุร้อน และมีการทำสปาธรรมชาติเพื่อสุขภาพและการบำบัดมาตั้งแต่ในอดีต และปรับปรุงรูปแบบปัจจุบันให้ทันสมัย
การไปชมบ้านเรือนยุคโบราณของเมืองบูร์บง ล็องซี เนื่องจากโรงแรมเราอยู่ตีนเขาลูกเตี้ยๆ ก็เลยต้องไต่ตามทางเดินแคบๆ ขึ้นเขาไป เดินไปได้ไม่นานเราก็พบกับกลุ่มอาคารโบราณที่เหมือนกับเมืองในเทพนิยาย บางส่วนผุพังตามกาลเวลา เจ้าของอาคารเลือกที่จะอนุรักษ์ไว้แบบปูนเปลือย ก็เลยทำให้มองเห็นเทคนิคการสร้างบ้านแบบโบราณชัดเจน ตามถนนหนทางของเมืองถูกปูด้วยหินกรวด บรรยากาศบ้านเรือนผู้คนเงียบสงบ ร้านรวงก็ยังไม่เปิด เลยมีพื้นที่ให้ดื่มด่ำกับศิลปะเล็กๆ น้อยๆ ที่ประดับอยู่ตามอาคารอย่างเต็มที่ และเมื่อเราเดินไปสุดทาง ผ่านประตูหินออกไปด้านนอก เบื้องหน้าก็เผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่าง ซึ่งเป็นอีกฝั่งของเมือง