จากตึกร้างสู่แรงบันดาลใจในงานศิลป์ ลา ชาริติ ซูร์ ลัวร์

จากตึกร้างสู่แรงบันดาลใจในงานศิลป์ ลา ชาริติ ซูร์ ลัวร์

บันทึกการเดินทางเส้นทางจักรยาน EuroVelo 6 ในฝรั่งเศส และส่วนหนึ่งของเส้นทางคณะราชทูตอยุธยาโกศาปานไปปารีส พ.ศ.2229 (ตอนที่ 4)

วันที่ 13 พฤษภาคม ออกจากเมืองเนอแวร์ ปั่นไปได้ไม่นานเส้นทางขาดเพราะน้ำท่วมฝั่ง ทำให้ต้องย้อนกลับไป วันนี้เองที่เจอกับต้นไม้ต้นเหตุของนุ่นที่ลอยฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งเมือง ค้นเจอว่ามันคือต้นที่เขาเรียกว่า Cottonwood เป็นพวกไม้ป๊อบล่า (Poplar) เนื้ออ่อนทำฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้อีกชนิดหนึ่ง ปุยของมันลอยละลิ่วปลิวละล่องตามลมไปไกล ตกตามพื้นสองข้างทางจนเป็นสีขาวยังกับปุยหิมะในช่วงที่อากาศเริ่มอบอุ่น

ต้นคอตตอนวู๊ด (Cottonwood) โตไว ชอบอยู่ใกล้พื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นพืชที่สามารถกันการกัดเซาะของดินริมฝั่งได้ดี
ดอกของต้นคอตตอนวู๊ดดูเหมือนดอกฝ้าย แต่ใยละเอียดและเบากว่ามาก น่าเสียดายที่ปุยดอกไม่เห็นบันทึกประโยชน์ถึงขั้นทำหมอน แต่ในอดีตมีคนใช้น้ำยางที่เหมือนกาวสำหรับทาหัวลูกศร เคลือบพวกจักสานหรือถังน้ำ ใช้ไม้ทำ sweat lodge poles หรือโครงสร้างไม้สำหรับทำกระโจม ส่วนใบก็เป็นปุ๋ยได้ดี น่าเสียดายที่บางคนไม่ชอบเลยตัดทิ้งเพราะปุยดอกมันรบกวน แต่จริงๆ แล้ว ปุยคอตตอนวู๊ดเป็นตัวดักจับเกสรดอกไม้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ลดปริมาณเกสรดอกไม้ ช่วยคนเป็นภูมิแพ้ได้บ้าง (แต่ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็กลัวสูดเอาปุยมันเข้าไปเหมือนกัน)
ภาษาอังกฤษเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า Cottonwood Fluff เป็น female cottonwood seeds เมล็ดตัวเมียที่มีประจุลบปลิวลอยดักจับเกสรตัวผู้ที่มีประจุบวกที่ปลิวตามลมจากต้นตัวผู้เพื่อผสมพันธุ์กัน ธรรมชาติคัดสรรวิธีการแปลกๆ เพื่อให้ไปเกิดในที่ใหม่ๆ ไม่ต้องเบียดต้นแม่ต้นพ่อ โดยการผสมพันธุ์แล้วก็ปลิวไปตามลม
ขี่จักรยานท่ามกลางเจ้าปุยนุ่นที่ล่องลอยเต็มไปหมด โดยเฉพาะเข้าฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน

เราเดินทางมาถึงเมือง ลา ชาริติ ซูร์ ลัวร์ (La Charite-sur-Loire) เป็นอีกเมืองเล็กที่อยู่ริมฝั่งของแม่น้ำลัวร์ที่มีศิลปินหลายคนมาเปิดร้าน จนกล่าวได้ว่าวงการศิลปะได้เล็งเห็นความสวยงามของรอยปุปะผนังที่จะพังเหล่มิพังแหล่ สีเก่าคร่ำคร่าถลอกปอกเปิกจนหลุดร่อนของเปลือกซีเมนต์ชั้นต่างๆ ของตึกเหล่านั้น ได้ช่วยเพิ่มสีสันความมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง และเมืองนี้ยังเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลหนังสือประจำปี จัดทั้งเมืองตามตรอกซอกซอยต่างๆ เปิดทั้งแผงขายหนังสือ ขายงานหัตถกรรมทำมือ มีดนตรี ขายอาหาร ฯลฯ

เราเลือกที่พักอยู่เกาะขนาดย่อมกลางแม่น้ำลัวร์ที่ดูไม่เหมือนเกาะ เพราะเป็นที่ราบและมีสิ่งปลูกสร้างตึกรามบ้านช่องเต็มพื้นที่ เราเช็คอินแล้วก็จอดรถจักรยานไว้ที่โรงแรม อาศัยสองเท้าเดินชมบรรยากาศของเมือง ข้ามสะพานใหญ่โดยมีฉากเมืองลา ชาริติ ซู ลัวร์ อยู่เบื้องหน้า บนถนนมีรถคลาสสิกวิ่งอยู่หลายคัน ท้องฟ้าที่มีสีขมุกขมัวบวกกับอากาศที่หนาวด้วยแรงลมจากแม่น้ำลัวร์ ทำให้ต้องใส่เสื้ออยู่หลายชั้น

พอเข้าเมืองมา สภาพตามถนนสองข้างทางผิดกับเมืองอื่นๆ ตึกรามบ้านช่องมีไม้ตอกปิดทางเข้าออกราวกับถูกทิ้งร้างมานาน ประตูเหล็กสีสนิมเขลอะ ประตูบางบานก็ผุ ดีว่าตึกทำจากอิฐและหินเลยไม่เพพังเท่าไหร่ โครงสร้างดูแข็งแกร่งจากภายนอกแต่ภายในก็สุดรับรู้ได้ ทางเดินในเมืองบางเส้นทางชัน มีร้านเล็กๆ เช่น ร้านหนังสือที่มีสไตร์เก่าๆ ร้านเสื้อผ้าสีอึมครึม แกลเลอรีภาพ พื้นที่แสดงงานศิลปะ มีแกลเลอรีหัตถกรรมเช่นเป่าแก้ว เห็นช่างทำงานอยู่สองสามคน ทั้งเมืองดูเหงาตามบรรยากาศท้องฟ้า ส่วนร้านอาหารก็ยังไม่ถึงเวลาเปิด ที่เห็นนั่งกันอยู่มักเป็นร้านจิบกาแฟเงียบๆ แบบง่ายๆ ถ้านั่งอยู่ก็คงงีบหลับ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ชอบในความที่ดูดั้งเดิมนี้มาก

Citroën 2CV รถซีตรองเป็นที่นิยมมากผลิตช่วงปี 1948-1990 จนมีการผลิตถึง 3.8 ล้านคัน เป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าคันแรกของโลกที่มียอดขายทะลุล้านคัน
เมือง ลา ชาริติ ซูร์ ลัวร์ ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์
ตึกที่ไม่ใคร่จะมีใครบูรณะ อาจจะเป็นด้วยค่าซ่อมแพงหรือชอบความอาร์ต
ประตูเหล็กของตึกต่างๆ แม้จะมีสนิมเกาะ แต่ก็ทำให้รู้ว่าในอดีตผู้คนเมืองนี้มีฐานะ ปัจจุบันเหลือคนอาศัยอยู่ที่นี่แค่ราวหกพันกว่าคน นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ในเมือง
หนึ่งในร้านขายหนังสือที่มีอยู่หลายร้าน หน้าตาแบบร้านหนังสือดั้งเดิมที่มีเสน่ห์
ตึกทรงสวยงามที่หัวมุมถนนภายในเมือง
โบสถ์แซงปิแยร์ (l’église Saint-Pierre) โบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ใจกลางเมืองอีกแห่ง ปัจจุบันเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะหมุนเวียน
ภายในโบสถ์แซงปิแยร์ เพดานทำจากโครงไม้ มีจิตรกรรมภาพเทวดาสีจางหาย โบสถ์เป็นศิลปะแบบโรมาเนสก์ สมัยต่อมาอาจมีการต่อเติมบางส่วนจึงมีลักษณะเป็นศิลปะแบบกอธิค
โบสถ์แซงปิแยร์ด้านข้าง หน้าต่างทรงโค้งแหลมแบบกอธิค (Pointed arches)
ภายในเมือง

วันนี้มีโมเมนต์น่ารัก เดินลงจากบันได เจอคุณป้ากำลังเดินมาทางฝั่งซ้ายมือ ต่างคนเลยต่างหยุดเพราะเกือบชนกัน คุณป้าแกก็ยิ้มให้ เลยทักทั้งบองชู เมอซี่ เต้งกิ้ว คล้อยหลังไปนิดหน่อย เหมือนแกนึกอะไรได้เดินหมุนตัวกลับมาพร้อมภาษาฝรั่งเศส สามีเลยบอกว่าพวกเราพูดอังกฤษ แกเลยพยายามอธิบายบางอย่างให้เราปนกันทั้งสองภาษา สามีจับใจความได้ว่าที่แกเห็นเราพากันถ่ายรูปกับบ้านหลังเล็กๆ โบสถ์โบราณ แกเล่าตำนานให้ฟังว่าเป็น “บ้านคนแคระ”

พวกเราดีใจมากที่มีคนมาอธิบาย ได้แต่ขอบคุณคุณป้าที่อัธยาศัยดีและน่ารัก จะว่าไปตั้งแต่ปั่นจักรยานในฝรั่งเศสมา เจอแต่คนเป็นมิตรทักบองชูกันทั้งวัน อย่างไรก็ตาม “คนหัวร้อน” ข้าพเจ้าก็เจอเหมือนกันที่เมืองอื่น แต่แค่คนเดียวในตลอดสามเดือนที่เดินทางในยุโรป นับว่าตัวเลขเฉลี่ยน้อยมากๆ เหตุการณ์คือลุงฝรั่งเจ้าของร้านเวียดนาม คุยกันไม่รู้เรื่อง สั่งปอเปี๊ยะผักในเมนูดันเป็นหมูมา แกก็ไม่สนใจที่เราพยายามกดมือถือแปลและอธิบาย เอาแต่พูดฝรั่งเศสรัวๆ เข้าร้านเวียดนามมา 3 ร้านไม่เคยเจอปัญหาอะไร พึ่งมีเคสร้านลุงบ่นอะไรก็ฟังไม่ออก ได้แต่ยืนฟังแกบ่นจนจบ แล้วก็พูด I am sorry. (หนูฟังไม่ออกซักคำค่ะ แง..) และโค้งลาจากแกไปอย่างสุภาพ ไม่ได้โกรธอะไรแกเลย

บ้านคนแคระที่แปะกับผนังโบสถ์โบราณนอเทรอดาม (Notre Dame ดchurch) ประตูเล็ก ภายในมีสองชั้น แต่ละชั้นไม่สูงเท่าไหร่
โบสถ์โบราณนอเทรอดามของเมืองนี้อยู่ในยูเนสโกปี 1998 สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 10 ช่วงที่มาเยือนด้านในพื้นที่โล่งมีกิจกรรมขายหนังสือและแสดงงานศิลปะหมุนเวียน

สรุปวันนี้ปั่นไม่ไกลประมาณ 34 กิโลเมตร เพราะอยากมานอนที่นี้ ที่พักของเราชื่อว่า Le Bon Laboureur อยู่บนเกาะกลางแม่น้ำลัวร์ที่ไหลเชี่ยว โรงแรมมีห้องสำหรับเก็บจักรยานเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือในบ้านเจ้าของนั่นเอง อาหารเช้าเป็นบาเก็ตเช่นเดิม และมีขนมปังหวานแบบอื่นๆ ให้เลือก

โรงแรม Le Bon Laboureur อยู่เกาะใหญ่กลางแม่น้ำลัวร์
อาหารเช้าแสนอร่อย บาเก็ตขนมปังฝรั่งเศสพออยู่นานๆ ไม่ได้กินวันไหนรู้สึกเหมือนไม่ได้กินข้าว กลายเป็นอาหารหลักที่ต้องพกติดตัวมีไว้ตลอด หิวเมื่อไหร่ก็กินบาเก็ตไป ไม่กินขนมปังอันนี้ก็จะเจอขนมปังที่มีไส้หวานๆ แทน ส่วนใหญ่อาหารเช้าก็ไม่พ้นบาเก็ต โยเกริ์ต ซีเรียล กาแฟ และชาร้อนหลายๆ แบบ

สถานีประตูน้ำโบราณ ที่พักโรแมนติกแห่งเมือง ชาตียง-ซูร์-ลัวร์

เช้าวันถัดมาคือวันที่ 14 พฤษภาคม ออกจากเมือง ลา ชาริติ ซูร์ ลัวร์ (La Charite-sur-Loire) เส้นทางผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบริเวณริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ มองฝั่งขวามือเห็นมีพวกพืชทนน้ำท่วมขึ้นอยู่ในที่ฉ่ำน้ำแฉะๆ ดูแล้วอุดมไปด้วยแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่หลบกระแสน้ำอันไหลอันเชี่ยวของแม่น้ำลัวร์

วันนี้โชคดีเจอทั้งไก่ฟ้าและหมูป่าลายๆ ตัวเล็กๆ หรือที่เรียกว่า Marcassin (the boar piglet) ได้ปั่นผ่านโรงงานพลังไฟฟ้านิวเคลียร์ บริเวณรอบๆ โรงงานเป็นธรรมชาติมาก ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่กสิกรรมไม่ค่อยเห็นชุมชนใกล้โรงงานมากนัก ในเส้นทางได้ยินเสียงนกร้องเซ็งแซ่ สายลมที่พัดเย็นสบาย

เบื้องหน้าคือโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
ระหว่างทางทุ่งดอกไม้ข้างทางเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ม้าพันธุ์เล็ก (Pony)
ลามา
แพะพันธุ์อัลไพท์ (Alpine goat) มีแหล่งกำเนิดคือเทือกเขาเอลป์ในฝรั่งเศส (French Alps) เป็นแพะที่ให้น้ำนมมากและยาวนาน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จึงเป็นนมแพะ
โคพันธุ์ไฮแลนด์ (Highland cattle) มีขนสองชั้นเพื่อปกป้องความหนาวเย็นและลมแรง
ค้นดูควายชนิดนี้น่าจะเป็น Italian Mediterranean buffalo ปกติในฝรั่งเศสไม่มีควายพื้นเมือง พวกนี้ใช้นมทำชีสมอซซาเรลลาได้
ไก่ฟ้าคอแหวน (Ring-necked Pheasant) ไม่แน่ใจว่าเขาเลี้ยงหรือเปล่า เจอข้างทางที่มีรั้วกั้น ไก่ฟ้าชนิดนี้สามารถพบได้ในฝรั่งเศส ประเทศกลุ่มยุโรป และในอเมริกา

ช่วงบ่ายเราพากันมาถึงที่พักชื่อว่า Le Relais de Mantelot ใกล้เมือง ชาตียง-ซูร์-ลัวร์ (Châtillon-sur-Loire) ของฝรั่งเศส ราวบ่ายสอง ใช้เวลาเกือบๆ 4 ชม. กับ 61 กม. ทำเวลาดีมาก (ส่วนใหญ่ลงเนินปั่นทางเรียบ)

ที่พักแห่งนี้เข้าใจว่าเคยเป็นตึกที่ทำการดูแลประตูน้ำโบราณ (ช่วงปี 1838-1896) ในส่วนของประตูน้ำเลิกใช้งานแล้ว เป็นเส้นทางออกสู่แม่น้ำลัวร์เพื่อไปเข้าประตูน้ำ Les Combes ที่อยู่อีกฝั่ง ซึ่งเรือต้องล่องไปตามช่องทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร จึงสร้างเส้นทางใหม่คือสะพานคลอง Briare ยกเรือข้ามแม่น้ำลัวร์ไปบนฟ้า ซึ่งช่วยขจัดปัญหาและลดเวลาการข้ามแม่น้ำลัวร์

บรรยากาศแถวนี้เงียบสงบมาก เป็นที่นิยมของชาวจักรยานยูโรเวลโล แต่ที่พักก็มีห้องไม่มาก ทำให้ต้องจองมาก่อนหลายเดือน เช่นเดียวกับการจองที่พักอื่นๆ ตามเส้นทางจักรยาน ไม่อย่างนั้นอาจไม่มีที่นอนเอาดื้อๆ เพราะเข้าฤดูร้อนคนมาปั่นจักรยานท่องเที่ยวตามเส้นทางจักรยานเยอะมาก

ตึกที่พัก
ด้านในห้องนอน ไม้แต่ละชิ้นเห็นการก่อสร้างทำอาคารชัดเจน
ด้านในตึกใช้พื้นไม้และบันไดไม้เวียนทางขึ้นแคบๆ
ด้านบนประตูน้ำโบราณ เหล็กดูแข็งแรงมาก
ประตูน้ำเมืองชาตียง-ซูร์-ลัวร์ เลิกการใช้งานไปแล้วเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ต่อมามีการปรับปรุงสถานที่
แผนที่ตำแหน่งประตูน้ำเก่าของเมืองชาตียง-ซูร์-ลัวร์ และสะพานคลองน้ำที่เดินเรือได้ข้ามแม่น้ำลัวร์ที่เมืองบะรีอา (Briare) ที่สร้างใหม่ เปิดใช้งานในปี 1896 ลดปัญหาและเวลาการข้ามแม่น้ำลัวร์ที่ไหลเชี่ยว

ตอนเย็นเราพากันปั่นเข้าเมืองหาข้าวกิน ขึ้นเนินไปกลับอีกราว 6 กม. แต่ก็เหมือนเดิมร้านอาหารยังไม่ถึงเวลาเปิด โชคดีมีร้านค้าสะดวกซื้อที่ปั๊มน้ำมัน พอที่จะได้บาเก็ต ถั่วลิสงค์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกแพร แอปเปิ้ล สลัดตะบูเล่ะ (Tabule salad หรือ Taboulé ในภาษาฝรั่งเศส) ใช้คูสคูส (couscous) ใส่พวกพลาสเล่ย์ (Parsley) มินท์ (Mint) มะเขือเทศ และน้ำมะนาว สลัดชนิดนี้มังสวิรัตน์ทานได้ เป็นอาหารของเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก อาหารที่ขายนอกนั้นต้องประกอบปรุงโดยใช้การต้มหรือไมโครเวฟ โชคดีที่ที่พักมีอาหารเช้าให้เลยไม่ต้องตุนเสบียงมากนัก ซึ่งเสบียงมังสวิรัตน์ก็หนีไม่พ้นขนมปัง ถั่ว และผลไม้ เกือบครบหมู่แล้ว ยกเว้นไม่มีไข่ เพราะไม่มีใครขายไข่ต้มในซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนผลไม้ได้ของสดชั่งกิโลขายราคาไม่แพงดูดีกว่าทางอังกฤษในเมืองที่เคยเดินทางไปเยือน อันนั้นหาง่ายจากร้านซุปเปอร์ฯ แต่เขาหั่นแช่เย็นแพ็คใส่กระปุกไว้ในช่องเย็นให้เลือกหยิบ คงอยู่ในนั้นหลายวัน พอชิมเข้าไปมันก็ไม่ค่อยสดแล้ว

เส้นทางของตอนที่ 4

ตอนหน้าออกเดินทางไปเมือง Sully-sur-Loire ไปตามเส้นทางสู่เมือง Orleans, Tours, Angers และ Nantes ตามลำดับ

…………

สำหรับตอนอื่นๆ คลิ๊กที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *