
หุบเขาลัวร์-Val de Loire
*บันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปั่นจักรยานในเส้นทาง EuroVelo 6 ในประเทศฝรั่งเศส และเมืองที่ผ่านในบทความตอนนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแม่น้ำลัวร์ที่คณะราชทูตอยุธยาโกศาปานใช้เดินทางผ่านไปปารีส ตามบันทึกของ มองซิเออร์ เดอ วีเช ที่ตีพิมพ์ พ.ศ.2229 หรือสามร้อยกว่าปีก่อน
18 พฤษภาคม ออกเดินทางจากเมืองอ็องบวซ ไปยังเมืองตูร์ วันนี้เดินทางไม่ไกล ประมาณ 29 กิโลเมตร
ในเส้นทาง EuroVelo 6 เราปั่นตามถนนริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ไปได้ซักระยะ แล้วก็เลี้ยวแยกซ้ายไปบนเส้นทางที่ตัดขึ้นบนเนินเขา เราผ่านฟาร์มม้าหลายแห่ง และเป็นครั้งแรกๆ ที่เส้นทางเริ่มเผยให้เห็นไร่องุ่นขนาดใหญ่ ต้นองุ่นถูกปลูกให้เรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไล่ระดับตามพื้นที่สูงต่ำของเนินเขาที่สวยงามสุดลูกหูลูกตา


ประเทศฝรั่งเศสมีหลายพื้นที่ที่สามารถปลูกองุ่นได้ดี และมักจำเพาะให้คุณภาพที่ดีในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุในดิน น้ำ และสภาพอากาศที่เหมาะสมเท่านั้น พื้นที่ปลูกองุ่นที่เส้นทางนี้ผ่าน อยู่ในบริเวณที่ชื่อว่า Val de Loire (Loire Valley) หรือหุบเขาลัวร์
หุบเขาลัวร์แห่งนี้ องุ่นที่ปลูกได้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ Sauvignon Blanc และพันธุ์ Chenin Blanc ลูกมีเปลือกสีเขียว ทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องของการผลิตไวน์ขาว และยังมีพันธุ์ Pinot Noir, Gamay และ Cabernet Franc ที่ให้เปลือกสีม่วง ใช้ทำโรเซ่ไวน์ (rosé wine) นอกนี้ก็ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้จากองุ่นที่ปลูกในหุบเขาลัวร์ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์แดง(wines) สปาร์กลิงไวน์(sparkling wine) และไวน์หวาน(dessert wines)
หุบเขาลัวร์ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เนื่องจากมีภูมิวัฒนธรรมที่งดงาม ประกอบไปด้วยเมือง หมู่บ้าน ปราสาท และพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของผู้คนกับพื้นที่กายภาพอย่างโดดเด่นมาหลายศตวรรษ

หุบเขาลัวร์มีทำเลที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองซูลลีซูรลัวร์ (Sully-sur-Loire) กับเมืองชาโลนซูรลัวร์ (Chalonnes sur Loire) ระยะทางประมาณ 280 กม. และอยู่ในพื้นที่สองแคว้นคือแคว้นซ็องทร์-วาลเดอลัวร์ (Centre-Val-de-Loire) และแคว้นเปอีเดอลาลัวร์ (Pays-de-la-Loire) (ภาพจาก https://commons.wikimedia.org)
เมืองที่อยู่ในบริเวณหุบเขาลัวร์ บางเมืองเราก็ปั่นผ่านแล้ว ตามริมแม่น้ำลัวร์ ไม่ว่าจะเป็นเมืองออร์เลอ็อง เมืองบลัว เมืองอ็องบวซ และที่กำลังจะเดินทางไปคือ เมืองตูร์ เมืองโซมูร์ (Saumur) เมืองอ็องเฌ และเมืองน็องต์
น่าเสียดายว่าบันทึกของ มองซิเออร์ เดอ วีเช ไม่ได้เขียนเล่าเกี่ยวกับพื้นที่หรือสิ่งแวดล้อมระหว่างทางมากนัก เพราะเมืองกลุ่มนี้อยู่ในเส้นทางผ่านของคณะราชทูตอยุธยา
อย่างไรก็ตาม หากใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำลัวร์เพื่อไปปารีสตรงๆ ก็อาจจะไม่ผ่านไร่องุ่น เพราะปลูกอยู่บนเนินเขา ส่วนริมแม่น้ำลัวร์ไม่เห็นใครปลูกองุ่น อาจเป็นเพราะน้ำท่วมบ่อย หรือเป็นพื้นที่ชื้นแฉะ..


เมืองตูร์ ..
เมืองตูร์ หรือ ตูรส์ Tours (ในบทความนี้เขียน “ตูร์” ตามวิกิพีเดียเพื่อสะดวกในการค้นหา) ในบันทึกการเดินทางราชทูตอยุธยาฯ มีเขียนไว้ว่า..
“21 กรกฎาคม ราชทูตมาถึงเมืองตูรส์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ เป็นที่ว่าการมณฑลดูแรน มีพระสังฆราชใหญ่ตำแหน่งอัครสังฆราช แต่ถึงเป็นเมืองใหญ่สำคัญฉะนี้ ก็หาได้มีกองทหารประจำไม่ เพราะเหตุฉะนี้การที่รับรองราชทูตด้วยมีกองทหารเป็นเกียรติยศ ต้องอาศัยชาวเมืองเองสมัคร เป็นประดุจหนึ่งทหารมาเฝ้าแทนดุจเดียวกับที่ตำบลลังเชย์นั้นเอง…”
คำว่า “พระสังฆราชใหญ่” ตามที่บันทึกกล่าวถึงนั้น คาดว่าคงเป็นตำแหน่งพระสังฆราชปกครองอาสนวิหารนักบุญกาเซียง (Cathédrale Saint-Gatien) ที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองตูร์
“อาสนวิหาร” ถือเป็นวัดประจำตำแหน่งของพระสังฆราชปกครอง ซึ่งการก่อสร้างจะได้รับเกียรติอย่างสูง พร้อมทั้งมีการตกแต่งอย่างปราณีต ซึ่งการก่อสร้างอาสนวิหารแห่งนี้ กินเวลายาวนานกว่าสี่ร้อยปี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนถึงศตวรรษที่ 16 เรียกได้ว่าวิวัฒนาการศิลปะเริ่มมาตั้งแต่แบบกอธิค จนไปสู่ยุคเรเนสซองส์








ปัจจุบันเมืองตูร์เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรราว 370,000 คน แม้ในภาพจะเห็นว่าตามตรอกซอกซอยดูเหมือนไม่ค่อยมีคน แต่ถนนบางเส้นก็ครึกครื้นมาก เช่น ถนนชอปปิ้ง (rue du commerce) เพราะเมืองนี้เป็นเมืองมีมหาวิทยาลัย และถนนเส้นนี้ยังอยู่ใกล้ที่พัก Hôtel Mondial ที่เราพักในคืนนี้ ซึ่งห้องพักดี มีอาหารเช้า และมีที่จอดจักรยานให้
ตกดึกตื่นมาตีสองได้ยินเสียงลอดมาจากหน้าต่าง คืนวันศุกร์หนุ่มสาวออกมาปาร์ตี้กัน ข้อดีอย่างหนึ่งของฝรั่งเศสเท่าที่เห็นคือไม่เปิดเพลงกระหน่ำเสียงดังเหมือนร้านเหล้าบ้านเรา ที่บาร์จะมีแค่เพลงเบาๆ คลอ หรือบางทีก็ไม่เปิด เมืองนี้เจอคนเอเชียบ้างเยอะกว่าหลายเมืองที่ผ่านมา เมืองตูร์คงเป็นเมืองที่คนนิยมมาเที่ยวหรือมาเรียนเช่นกัน


ไปเมืองโซมูร์ ..
วันนี้ออกเดินทางสาย ตอนเที่ยงได้อาหารกล่อง ฝีมือน้องคนไทย เจ้าของน่ารักมาก ขายเก่ง และขายดี เปิดร้านทำฟู้ดทรัค น้องพูดฝรั่งเศสขายรัวๆ มือก็ตักเอาๆ ลงกล่อง
น้องเจ้าของร้านมาอยู่ได้ 12 ปีแล้ว เธอดีใจมากที่ได้คุยภาษาไทย เพราะมาแล้วไม่มีเพื่อน ไม่ได้พูดไทยนาน พูดไปนึกคำศัพท์ไป เธอขอโทษที่อาหารมันเย็นเพราะทำตอนเช้า มือก็สาละวนตักอาหารใส่กล่องใส่ถุงตามสั่ง ความที่เราก็อยากคุยกัน หันไปอีกทีคิวข้างหลังเริ่มยาวออกเรื่อยๆ เธอจัดของใส่ถุง คิดราคาให้เสร็จ ลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง แล้วยังแถมปอเปี๊ยะมาให้จนเต็มกล่องอีก ขอบคุณนะคะ






จากที่เริ่มปั่นตั้งแต่ริมแม่น้ำลัวร์ เราก็ขึ้นเนินเขาเลาะเลี้ยวตามบ้านเรือนที่ปลูกกุหลาบดอกบานนับร้อยเลื้อยตามกำแพงบ้านอยู่สองข้างทางแสนน่ารัก เสียดายที่จอดถ่ายรูปไม่ได้ เพราะจักรยานมันจะไหล ถนนมันชันไปเรื่อยๆ (น้ำตาก็จะไหลเหมือนกัน อยากเข้าห้องน้ำมาก แถวนี้มีแต่บ้านคนใกล้กัน)




จากเส้นทางนี้ ในที่สุดก็ทะลุออกพื้นที่ปลูกองุ่นบนเขา มองเห็นไร่องุ่นสุดตาอยู่ตามเนินเขาสลับกันไป
แว๊บแรกที่คิดคือ.. ไม่ใช่ความสวยของทุ่งองุ่น อยากร้องไห้เพราะหาที่เข้าห้องน้ำไม่ได้ ไม่มีป่า มองไปที่ไหนก็ซอด(ทะลุ)เห็นกันหมด มองไปไกลๆ เห็นมีโรงทำไวน์ตั้งอยู่ห่างๆ มีโบสถ์ มีสุสานกำแพงล้อมรอบอยู่ใจกลางไร่ เหมือนเฝ้ามองความสวยงามของไร่องุ่น อยู่ในที่ของตน มาตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิต


เรามาถึงโบสถ์เก่าแห่งหนึ่งที่อยู่ริมหน้าผา สามารถมองเห็นวิวจากมุมสูง จากจุดนี้ไปเป็นเส้นทางเลาะริมผาไปเรื่อยๆ บางจุดเห็นวิวเมืองโซมูร์และแม่น้ำลัวร์เบื้องล่างชัดเจน






ในที่สุด ความทุกข์ก็สิ้นสุดลง ปั่นมาเจอกำแพงเก่าๆ ที่เหลือซากทิ้งเป็นอนุสรณ์ไว้อยู่ข้างทาง ใช้หลบบังตาให้เก็บดอกไม้ได้ แน่นอนว่าไหว้ขออนุญาตเจ้าที่เป็นธรรมเนียม ส่วนเขาจะฟังออกหรือไม่นั้น แค่อย่าตามมาก็พอ
…..
ถึงเมืองโซมูร์ (Saumur) ข้างแม่น้ำลัวร์ ด้วยระยะทาง 85 กม. มีช่วงทรหดมากที่สุดคือ 25 กม. สุดท้ายก่อนถึงที่พัก ทั้งทางชันทั้งลมต้านแรงถีบ แถมส่วนมากมีแต่ขึ้น ที่ลงจริงๆ คือแบบปักหัวหักเลี้ยวเลาะตามทางเดินแคบๆ เข้าเมือง


สำหรับเมืองโซมูร์หรือโซมีร์ ในบันทึกการเดินทางของราชทูตโกศาปาน ได้กล่าวถึงว่า
“เมืองโซมีร์ ซึ่งเป็นเมืองเก่าโบราณ มีป้อมปราการค่ายคูประตูหอรบอย่างแน่นหนา ทั้งมีลำแม่น้ำลัวร์ผ่านไปที่นั่นด้วย จึงเป็นทำเลดีสำหรับเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง ที่เมืองโซมีร์นี้ เจ้าเมืองได้จัดทหารกองเกียรติยศสำหรับดูแลรักษาราชทูตตลอดเวลาที่ท่านได้พักแรมอยู่ในเมืองนั้น”


เรามาถึงเมืองโซมูร์ในวันหยุดพอดี ที่พักที่อยากจองในเมืองเต็ม ที่เหลือราคาไม่สู้ ปั่นไปนอนอีกฝั่งของเมืองไกลออกไปหน่อย ราคาน่ารักคบได้ สงบดีมาก


อ็องเฌ (Angers)
วันนี้ 59 กม. ถึงเมืองอ็องเฌ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการปั่นจักรยานในเส้นทาง EuroVelo6 ครั้งนี้
ในบันทึกการเดินทางของราชทูตโกศาปานฯ หนังสือไม่ได้กล่าวถึงเมืองอ็องเฌหรืออังเจร์มากนัก นอกจากมาถึงเมืองนี้ในเย็นวันที่ 18 และในวันดังกล่าวก่อนมาถึงเมืองอ็องเฌ ท่านก็กลายเป็นตำนานฝรั่งมุงคนไทย เพราะไปอาบน้ำที่แม่น้ำลัวร์ ความว่า..
“วันที่ 18 นั้น ราชทูตได้มาถึงเมืองแองครังค์ ซึ่งเป็นเมืองอยู่ตามลำแม่น้ำลัวร์เหมือนกัน ราชทูตจึงลงอาบน้ำที่แม่น้ำเหมือนเมื่อวันก่อน แต่ที่นี้คนตื่นเต้นกันมาดูราชทูตอาบน้ำมาก ยิ่งกว่าที่เมืองอังสนีย์ จนเป็นที่รำคาญ ต้องลงเรือข้ามแม่น้ำไปอาบที่ฟากข้างโน้น มิฉะนั้นคนแตกตื่นมามากเป็นที่รำคาญเหลือเกิน เย็นวันนั้น ราชทูตได้มาถึงเมืองอังเจร์”
น่าเสียดายที่เราปั่นจักรยานสวนทางกับท่านราชทูตโกศาปานในยุคนั้น ถ้าจุดหมายเราอยู่ที่เมืองน็องต์ เราก็มีโอกาสผ่านเมืองที่ท่านราชทูตโกศาปานลงอาบน้ำ ถึงสองเมืองด้วยกัน นี่ไม่ใช่แต่ฝรั่งจะมุง ฉันเองก็สนใจอยากไปมุงที่ประวัติศาสตร์แห่งนั้นเช่นกัน(ฮา)

ภาพ: เส้นทางระหว่างเมืองอ็องเฌไปยังเมืองน็องต์ ตำนานราชทูตโกศาปานลงอาบน้ำในแม่น้ำลัวร์แล้วฝรั่งมามุง อยู่ที่เมืองอังสนีย์ (Ancenis) และครั้งที่สองที่เมืองแองคองด์หรือแองครังค์ (Ingrandes)
ภาพด้านล่างนี้เป็นภาพในระหว่างทางจากเมืองโซมูร์ มายังเมืองอ็องเฌ










เรามาถึงเมืองอ็องเฌตอนบ่าย ประชากรในเมืองนี้มีราว 160,000 คน เป็นเมืองใหญ่อีกเมือง แต่เราก็ไม่ได้เที่ยวในตัวเมืองอ็องเฌเท่าไหร่ เพราะวันพรุ่งนี้ตั้งใจจะไปเที่ยวเมืองน็องต์ ใช้รถไฟไปแต่เช้า อ็องเฌเลยเป็นเพียงเมืองพักผ่อนหลังจากปั่นจักรยานมาอย่างยาวนาน



เราเลือกโรงแรมในอยู่บริเวณที่คนไม่พลุกพล่าน และอยู่ใกล้สถานีรถไฟแค่ 400 เมตร เป็นโรงแรมชื่อว่า Hotel Iena มีห้องเก็บจักรยานดี
บทส่งท้ายที่เมืองน็องต์
บันทึกการเดินทางราชทูตโกศาปานฯ ได้กล่าวถึงเมืองน็องต์หรือนังต์ (Nantes) ไว้ดังนี้..
“ตอนกลางวัน วันที่ 16 (กรกฎาคม พ.ศ.2229) นั้น เจ้าพนักงานได้พาราชทูตขึ้นไปบนยอดเนินแห่งหนึ่งชื่อเนินแด กาปิแซง เพื่อจะให้ท่านดูเมืองนังต์นั้นว่าใหญ่โตอย่างไร เพราะที่นั่นเป็นที่สูงเห็นเมืองได้สนัด พอขึ้นไปบนยอดเนินนั้น ท่านราชทูตทั้งหลายเห็นหมู่บ้านรอบเมือง มีเป็นหลายหมู่ใหญ่ๆ ก็ถามท่านสตอร์ฟว่า หมู่บ้านที่เห็นเรียงรายไปรอบเมืองนั้น เป็นเมืองอะไรบ้าง
ท่านก็ตอบว่า เห็นเป็นเมืองเล็กเมืองใหญ่รอบเมืองนั้นหาใช่เป็นเมืองอื่นไม่ เป็นแต่แผนกหนึ่งๆ ของเมืองต่างหาก นับรวมเป็นเมืองเดียวกันคือเมืองนังต์ทั้งนั้น”
เมืองน็องต์ในสามร้อยปีต่อมากลายเป็นมหานคร ที่มีประชากรราว 711,464 คน ในปี 2025 ถือเป็นเมืองใหญ่ลำดับที่ 6 ของฝรั่งเศส และยังเป็นเมืองที่น่าดึงดูดใจสำหรับการทำธุรกิจและด้านครัวเรือนในอันดับต้นๆ ของประเทศ
แม่น้ำลัวร์สายน้ำที่ยาวที่สุดของฝรั่งเศส จะไหลผ่านเมืองน็องต์ ไปลงทะเลที่ Bay of Biscay (Atlantic Ocean) เมือง Saint-Nazaire
เมืองน็องต์จึงเป็นเมืองใกล้ปากน้ำ มีเกาะกลางน้ำทำอู่ต่อเรือ โกดังสินค้า และทางรถไฟ (ปัจจุบันใช้เกาะทำอย่างอื่นแล้ว ซึ่งเราจะได้กล่าวถึงต่อไป) สิ่งที่น่าสนใจของเมืองน็องต์ มีทั้งทางด้านประวัติศาสตร์เมือง ปราสาทโบราณ สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ




วันนี้เราจะไปชม Les Machines de l’Île de Nantes เป็นโครงการด้านศิลปะ การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมของเมืองน็องต์ที่ตั้งอยู่บนเกาะขนาดใหญ่กลางแม่น้ำลัวร์ ซึ่งสามารถเดินจากสถานีรถไฟไปได้
Les Machines de l’Île เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2007 เป็นหน้าเป็นตาให้แก่เมืองน็องต์
Les Machines de l’Île เป็นโครงการศิลปะที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน เกิดจากจินตนาการของ François Delarozière และ Pierre Orefice เป็นจักรวาลเครื่องจักรของเลโอนาร์โด ดา วินชี กับโลกที่ประดิษฐ์ขึ้นของจูลส์ เวิร์น (Jules Verne) และประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของเมืองน็องต์บนพื้นที่อู่ต่อเรือในอดีต


ตึกแรกที่เปิดให้เราชมเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ ใช้ระบบน้ำจากน้ำฝนที่ไหลจากหลังคาโรงเก็บของ นำมาใช้เป็นระบบน้ำซึมและน้ำหยดเพื่อทดสอบการเพาะปลูกพืช
โปรเจคนี้คือการสร้างต้นเฮร่อน (Heron tree) ในอนาคต โรงเรือนแห่งนี้ได้ทำการเพาะปลูกต้นไม้แปลกๆ หลายอย่าง มีการทดลองแปลกๆ ใหม่ๆ แล้วก็มีการอธิบายรวมถึงสาธิตวิธีควบคุมหุ่นสัตว์จักรกลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสล็อต แมงมุม นก ฯลฯ ของบริษัท La Machine






นอกจากนี้ก็ยังมีโซนอื่นเช่น โรงผลิตหุ่นจักรกล มีหุ่นจักรกลขนาดใหญ่หลายตัวที่สามารถออกมาเดินพาเหรดเคลื่อนไหวไปตามท้องถนน หุ่นจักรกลที่ใหญ่สุดคือ ช้าง ที่รับผู้โดยสารได้ถึง 50 คนในการออกเดินทางแต่ละครั้ง


ถัดไปอีกส่วนเป็นประติมากรรมอันน่าทึ่ง สร้างเพื่อเป็นเกียรติให้แก่จูลส์ เวิร์น นักเขียนแนววิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลกและมีบ้านเกิดอยู่ในเมืองน็องต์ รวมถึงเมืองน็องต์ที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับทางทะเลและเมืองแห่งอุตสาหกรรม
โรงละคร 360 องศาแห่งนี้ มีชื่อว่า Le Carrousel des Mondes Marins ( Carrousel of the Marine Worlds) เป็นม้าหมุนขนาดใหญ่ถึงสามชั้นด้วยกัน แต่ละชั้นจะมีสัตว์ทะเลหน้าตาแปลกประหลาด ทั้งที่อาศัยอยู่ในทะเลบนผิวน้ำ และใต้ท้องทะเลลึก เครื่องเล่นเหล่านี้จะใช้มือของผู้นั่งคอยบังคับ ทำให้เคลื่อนไหวไปมา ขณะที่ผู้ชมที่ยืนดูอยู่โดยรอบต่างได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน




กลับไปคืนจักรยานที่สวิสเซอร์แลนด์
วันถัดมาเราก็ใช้รถไฟฝรั่งเศสเดินทางกลับไปยังเมืองบาเซิล สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อคืนจักรยานที่ร้าน ระหว่างทางเราแวะนอนพัก 1 คืนที่เมืองดีฌง (Dijon) ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านการทำมัสตาร์ด










จบ.
อ่านตอนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8(ตอนจบ)
………….
บันทึกการเดินทางปั่นเส้นทาง EuroVelo หมายเลข 6 ระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม – 24 พฤษภาคม 2567
ระยะเวลา 22 วัน จากเมืองมัลลูส ไปยังเมืองอ็องเฌ ฝรั่งเศส

ขอขอบคุณท่านที่ได้ติดตามอ่านมาจนถึงตอนจบ ฉันหวังว่าใครที่กำลังอ่านอยู่ จะได้รับสาระความสนุกสนานจากบันทึกการเดินทางครั้งนี้ และขอขอบคุณป้ารหัสพี่นัท คริส และครอบครัว ที่พักพิงของเรา ไม่มีคำใดจะกล่าวนอกจากอยากกอดขอบคุณ ผู้มีส่วนร่วมสำคัญที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดีทุกประการ
สำหรับฉัน นอกจากความโชคดีที่ได้ปั่นในเส้นทางดังกล่าวแล้ว ยังรู้สึกเป็นมงคลชีวิตที่ได้อยู่ในเส้นทางประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งไม่คิดมาก่อน ความรู้สึกเหมือนถูกหวย เพราะตลอดการเดินทางนึกในใจว่าท่านราชทูตโกศาปานมาฝรั่งเศสตอนนั้นเป็นยังไงบ้างนะ ท่านเห็นแบบนี้ไหมนะ คิดอยู่บ่อยๆ จนกลับมาถึงไทย ถึงได้ไปหาหนังสือมาอ่าน เผื่อว่าจะมีบันทึกในช่วงนั้น แล้วก็มาเจอหนังสือจดหมายเหตุ โกศาปานไปฝรั่งเศส ของมองซิเออร์ เดอ วีเช ซึ่งเป็นบันทึกการเดินทางที่เขียนไว้เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งตอนนี้ก็มีพิมพ์จำหน่ายเป็นเล่มปกแข็งสวยงามน่าซื้อเก็บ และสามารถดาวน์โหลดของกรมศิลปากรมาอ่านได้เช่นกัน
และท้ายสุดขอบคุณสามี ที่ทำให้การเดินทางกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรในฝรั่งเศส ไม่ใช่เพียงความเพลิดเพลินเท่านั้น ฉันคิดว่าการเดินทางครั้งนี้มีความหมายมาก และเราได้หอบเอาคุณค่านั้นกลับมาด้วย ฉันเลยอยากที่จะบันทึกเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งใช้เวลาเขียนค่อนข้างนานจนจะครบปีของการเดินทางถึงเสร็จ มีทั้งหมด 8 ตอน พยายามเก็บความรู้เกี่ยวกับฝรั่งเศสที่พบแล้วเขียน แต่ก็พยายามทำให้สั้นและอ่านง่ายด้วย หวังว่าจะชอบกัน.
ผู้เขียน สุทธวรรณ บีเวอ