เมืองกุหลาบแห่งโบชองซี และเส้นทางไปเมืองอ็องบวซ ฝรั่งเศส

เมืองกุหลาบแห่งโบชองซี และเส้นทางไปเมืองอ็องบวซ ฝรั่งเศส

*บันทึกการเดินทางเส้นทางจักรยาน EuroVelo 6 ในฝรั่งเศส และบางส่วนของเส้นทางคณะราชทูตอยุธยาโกศาปานไปปารีส พ.ศ.2229 (ตอน 6)

เส้นทางในบทความตอนนี้ ออกเดินทางจากเมืองซูลลี่ ซูร์ ลัวร์ (Sully-sur-Loire) ผ่านเมืองออร์เลอ็อง (Orléans), เมืองโบชองซี (Beaugency), เมืองบลัวส์ (Blois) และเมืองอ็องบวซ (Amboise)

เดินทางสู่เมืองโบชองซี

16 พฤษภาคม เราออกเดินทางจากเมืองซูลลี่ ซูร์ ลัวร์ (Sully-sur-Loire) ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำลัวร์ เป็นสะพานเหล็กโบราณที่ใช้สำหรับเป็นทางรถไฟมาก่อนและเพิ่งซ่อมแซมเสร็จ เปิดใช้งานเฉพาะจักรยานและคนสัญจรเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ฉันปั่นข้ามสะพานมาได้ซักหน่อย รู้สึกได้ว่าจักรยานมันแปลกๆ จอดลงดู ก็ไม่เห็นอะไร เช็ครถอยู่ท่ามกลางกระแสลมในแม่น้ำที่พัดแรง แถมสะพานยังสั่น

สามีวนจักรยานกลับมาช่วย เจอน๊อตตัวหนึ่งที่มันหลวม มันเป็นน๊อตที่ติดบังโคลนหลังของจักรยาน หลุดลงมาแทงกับยางหลังจนกลายเป็นเบรกห้ามล้อ

เราพยายามใช้อุปกรณ์ขันน๊อตสอดเข้าไปขันให้แน่นก็ทำไม่ได้ ดูแล้วว่าอาจต้องถอดล้อหลังออก คำว่า “ล้อหลัง” มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามาก เพราะมีสาระพัดระบบเกียร์โยงอยู่ ระหว่างที่มะรุมมะตุ้มแก้ปัญหา ก็มีคุณลุงคุณป้าขี่จักรยานในมือถือขนมปังบาเก็ตผ่านไป ก่อนตัดสินใจวกกลับมาช่วย

ดีใจที่ลุงพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะคนฝรั่งเศสแทบพูดอังกฤษไม่ได้กันเลย แกยืนมองดูระบบจักรยานแล้วปลงช่วย ยืนคุยกันไปซ่อมไปเรื่อยๆ ว่ามาจากไหน ขี่ไปไหน จนซ่อมเสร็จ

พอจะลาจากกัน ฉันพนมมือไหว้ขอบคุณ ในที่สุดก็ไม่ต้องทนหนาวอยู่กลางสะพาน ลุงฝรั่งเห็นฉันไหว้ ก็หัวเราะชอบใจ เอามือเคาะหมวกกันน๊อคบนหัวอย่างเอ็นดูสองสามที ดูใจดีเหมือนกันกับพ่อใหญ่บ้านเราแท้

เราซ่อมจักรยานอยู่บนสะพานที่ชื่อว่า Ancien Viaduc Ferroviaire de Saint-Père-sur-Loire เป็นสะพานรถไฟเก่า ตอนนี้ใช้สำหรับเดินข้ามและทางจักรยาน อยู่ไม่ไกลจากสะพานรถยนต์
ระหว่างทางเราผ่านไร่ข้าวบาร์เลย์ที่กว้างใหญ่ ยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนีกับฝรั่งเศสถือว่าเป็นแหล่งปลูกรายใหญ่ของโลก ฝรั่งเศสส่งออกราวครึ่งหนึ่งที่ผลิตได้ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเหล้าและเบียร์ รวมถึงอาหารสัตว์
เราผ่านโกดังหัวบีทแห่งหนึ่ง มีลังไม้ใหญ่ๆ ซ้อนกันหลายร้อยลังอยู่รอบอาคาร
หัวบีทขนาดใหญ่ ไม่แน่ใจว่าเป็นหัวบีทสำหรับทำกับข้าว (Beetroot) หรือทำน้ำตาลทราย (Sugar Beet) หัวใหญ่มากๆ แต่จุกออกสีม่วงคล้าย Beetroot มีข้อมูลว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาลทรายจาก Sugar beet อยู่ในอันดับต้นๆ ของยุโรปและของโลก น้ำตาลทรายที่เราได้ในโลกนี้มีมาจากพืช 2 ชนิด ก็คืออ้อยที่ปลูกได้ในเขตร้อน และ Sugar beet ซึ่งปลูกได้ในพื้นที่เย็น

หลังจากข้ามสะพานได้ เราก็ปั่นเส้นทางข้างๆ แม่น้ำลัวร์ ราว 50 กม. จึงมาถึงเมืองออร์เลอ็อง (Orléans)

เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่ราชทูตโกศาปานเดินทางผ่านเพื่อเดินทางไปปารีส ตามหนังสือจดหมายเหตุโกศาปานไปฝรั่งเศส ของ มองซิเออร์ เดอ วีเช ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน

ออร์เลอ็องเป็นเมืองใหญ่มีรถเยอะ แต่บริเวณแม่น้ำลัวร์สงบ มีต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบให้ร่มเงาเรียงเป็นทิวแถวตามริมฝั่ง เราปั่นผ่านตึกโบราณที่เป็นศิลปะอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ความงามอ่อนช้อยราวกับเทพนิยาย สร้างในปีค.ศ. 1906 (ราวสมัยร.5) ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์

ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์
Maison Morlon ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ เมืองออร์เลอ็อง เป็นตึกแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) อายุราว 118 ปี
ดอกไม้สีเหลืองบานในระหว่างฤดูกาลนี้ เป็นดอกไม้กวาดสก๊อต หรือ Scotch broom
เส้นทางเป็นทางเล็กๆ ทะลุผ่านป่าอันร่มรื่นไปเรื่อยๆ
บ้านเรือนชนบทระหว่างทาง
บ้านตึกแบบฝรั่งเศสทั่วไป ลักษณะอาจสร้างราวศตวรรษที่ 19 สร้างแบบเรียบง่ายเน้นใช้งานและใช้ผนังร่วมกัน บานประตูหน้าต่างถูกออกแบบให้ป้องกันแสงและรักษาความเป็นส่วนตัว (บางทีเลยดูเหมือนตึกร้างปิดกิจการ) ตามถนนหนทางไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก

เรามาถึงเมืองโบชองซี (Beaugency) ระยะทางจากจุดเริ่มต้น มาถึงที่นี่ราว 84 กม. ที่เมืองชนบทเล็กๆ แห่งนี้สวยงามมาก เขาปลูกกุหลาบเลื้อย (rambling roses) ที่หน้าบ้านให้เลื้อยขึ้นตามซอกหินไป กุหลาบมีหลายสายพันธุ์หลายสี พอดมดูได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ทั้งเมือง คืนนี้เราพักที่ Le Relais des Templiers มีที่จอดจักรยานและมีอาหารเช้า

กุหลาบเลื้อยหลากหลายสายพันธุ์ที่ขึ้นเลื้อยตามตึกรามบ้านช่องของเมือง มีแต่ดอกใหญ่ๆ และสมบูรณ์มาก
เถาไอวี่ยังเป็นสีเขียวสดในฤดูกาลนี้

เดินทางสู่เมืองอ็องบวซ (Amboise)…

เช้าวันนี้จุดหมายเราอยู่ที่เมืองอ็องบวซ เส้นทางยังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ ถนนผ่านความอุดมสมบูรณ์ของป่าริมน้ำตามธรรมชาติ อากาศเย็นสบาย

ระหว่างทางเราผ่านเมืองบลัวส์ Blois (ออกเสียงว่า บลัว) ตอนเที่ยงวันพอดี ซึ่งตามจดหมายเหตุฯ ได้กล่าวถึงเมืองนี้ว่า

วันที่ 22 (กรกฎาคม พ.ศ.2229) ราชทูตถึงเมืองบลัวส์ ซึ่งมีสมญาว่า “ราชบุรี” เหตุที่เรียกว่าราชบุรีมิใช่เพราะเป็นเมืองหลวงหามิได้ เป็นเพราะที่นั่นอากาศดี บรรดาพระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ทรงพอพระราชหฤทัยที่จะเสด็จประพาสอยู่ที่เมืองบลัวส์นี้มาก

กับอนึ่งแต่ไหนๆ มา เมืองบลัวส์นี้เป็นเมืองศึกษาเล่าเรียนของบรรดาราชตระกูลทั้งหลายเมื่อทรงพระเยาว์ จึงเป็นเหมือนหนึ่งเมืองลูกหลวงก็ว่าได้

ถนนภายในเมืองบลัวส์
ตึกโบราณแบบฮาล์ฟทิมเบอร์ (Half Timber) เมืองบลัวส์
โบสถ์ St. Nicholas (Église Saint-Nicolas) สร้างในศตวรรษที่ 11- ต้นศตวรรษที่ 13 ก่อนถูกทำลายลงในสงครามศาสนา จนมาบูรณะใหม่ราวศตวรรษที่ 17-18 ไม่แน่ใจว่าตอนท่านทูตมาอยู่ในสภาพไหน จินตนาการว่าอย่างน้อยก็มี 1 อาคารที่อยู่ร่วมสมัยในเวลานั้น
ตึกโบราณอีกแบบของเมืองบลัวส์
เฝอเวียดนามแบบมังสวิรัตน์จากร้าน PHÔ41 Le Bouillon Việt’ เมืองบลัวส์ ราคาใกล้เคียงกับอาหารฝรั่งเศสทั่วไปราวๆ 13-15 ฟรังค์
วิวเบื้องหลังคือเมืองบลัวส์ บนสะพาน François-Mitterrand เหนือแม่น้ำลัวร์
ในแม่น้ำลัวร์มีเรือไม่มาก และก็ไม่ค่อยเห็นการสัญจรเท่าไหร่นัก
ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์
ทุ่งดอก Crimson clover กว้างใหญ่อยู่ริมทาง ให้ประโยชน์เป็นพืชคลุมดินที่ใช้ปรับปรุงคุณภาพดิน
เมืองอ็องบวซอยู่ทิศเบื้องหน้า หากว่าพ้นเนินเขาลูกนี้ไปได้

ช่วงบ่ายเราเดินทางกันยาว ปั่นขึ้นเนินเขามาเจอกับกลุ่มเมฆพายุฝนที่กำลังตั้งเค้าอยู่ ในใจคิดว่าน่าจะทันถึงที่พักในเมืองอ็องบวซที่เหลืออีกแค่ไม่ถึง 10 กม. เลยใส่เสื้อกันฝนขับฝ่าลมมาเรื่อยๆ

แต่แล้วน๊อตกระบังหลังจักรยานที่เคยซ่อมมา ปั่นทั้งวันมันไม่หลุด มันดันมาหลุดเอาตอนนี้ ทั้งลมก็มา แล้วฝนก็เริ่มเท และแน่นอนสิ่งที่สุดคือ ความเปียกที่เย็นยะเยือก..

สถานการณ์ตอนนี้คืออยู่ท่ามกลางทุ่งเวิ้งว้างไม่มีหลังคาใดๆ ให้หลบ ด้านหน้าเห็นรถบ้านตั้งแค้มป์อยู่หลายคันในทุ่งโล่ง มองเห็นอีกฝั่งเป็นรั้วโรงงาน ประตูก็ปิด พอเบียดแนวรั้วได้นิดหน่อย ตอนนี้จะถอดล้อจักรยานก็ทำไม่ได้ พื้นถนนเริ่มเจิ่งนองด้วยน้ำและโคลน ฝนหนักขึ้นเรื่อยๆ

เราพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สอดนิ้วมือจากสองข้างเข้าไปช่วยบิดเกลียวน๊อตใต้บังโคนหลังให้พ้นล้อ แต่น๊อตมันลื่นมาก หมุนจนนิ้วถลอก แถมปั่นไปได้ไม่เท่าไหร่มันก็หล่นลงมาอีกสามสี่รอบ สุดท้ายได้วิธีใหม่เอาหนังยางมารัด สำเร็จแบบงงๆ ขี่เข้าเมืองด้วยสภาพหนาวเปียกจนมือชา ถึงที่พักตอนหนึ่งทุ่ม โชคดีที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ว่า ฝรั่งเศสหาหลังคาหลบได้ยาก บ้านต่างคนต่างอยู่ มีรั้วรอบขอบชิด ยกเว้นบังเอิญว่าโชคดีมองเห็นใต้สะพานถึงพอได้มีที่กำบัง

ไม่อยากบอกว่าดีใจแค่ไหนที่เห็นตัวเมือง
เมืองอ็องบวซ (Amboise) อยู่ด้านล่างเนินเขาเส้นทางที่เราปั่นตากฝนข้ามมา

คืนนี้เราพักที่ Logis Hôtel Chaptal เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่เดินเที่่ยวในเมืองอ็องบวซ (Amboise) สะดวก และไม่ไกลไปจากที่พำนักของเลโอนาร์โดเท่าไหร่ พรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมบ้านลุงเลโอนาร์โด ดา วินชี กัน

ห้องพักที่โรงแรม Logis Hôtel Chaptal
อาหารเช้าโรงแรม และที่นี่ก็มีที่จอดจักรยานสะดวกดีมาก

…………………….

อ่านตอนที่ 1234, 5, 6, 7,…

………………….

**หมายเหตุ หนังสือจดหมายเหตุโกศาปานไปฝรั่งเศส ของ มองซอเออร์ เดอ วีเช ที่ผ่านเมืองในเส้นทาง EuroVelo 6 ได้แก่ เมืองบลัวส์ (Blois) -ตูร์ หรือ ตูรส์ (Tours) – อ็องเฌ หรือ อังเจร์ (Angers) เและเมืองน็องต์ หรือ นังต์ (Nante) (ชื่อตามหลังคำว่า “หรือ” เป็นชื่อที่ได้จากหนังสือ ส่วนชื่อหน้าเป็นชื่อในอินเตอร์เน็ต) ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *