“สินไซ” จากใบลานสู่ภาพจิตรกรรมบานประตูหน้าต่าง ณ พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวงพระอารามหลวง ขอนแก่น

“สินไซ” จากใบลานสู่ภาพจิตรกรรมบานประตูหน้าต่าง ณ พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวงพระอารามหลวง ขอนแก่น

เรื่อง สินไซ จากภาพจิตรกรรมบานหน้าต่างและบานประตูชั้น 2 ของพระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวงพระอารามหลวง มีจำนวน 120 ภาพ แต่ละภาพจะมีโคลงกลอนกำกับ บอกเล่านิทานที่มีตัวละครหลักสามตัวคือ สินไซ สีโห และสังข์ ที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือคนธรรมดา ต่อสู้กับเหล่ายักษ์และปีศาจ เพื่อที่จะช่วยอาจากยักษ์ ซึ่งถูกลักพาตัวไป

นิทานสินไซเป็นนิทานที่มีชื่อเสียงในแถบลุ่มแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคที่ปรากฏอยู่นี้ได้มีการนำเอาโคลงกลอนจากคัมภีร์ใบลานอักษรไทยน้อยมาแปลเป็นคำอ่านที่ใช้อักษรไทยแต่ใช้เสียงวรรณยุกต์ของคำที่มีความหมายในภาษาอีสาน และด้วยความที่เป็นคำอีสานโบราณก็ยิ่งทำให้มีผู้เข้าใจน้อยลงไปอีก แอดมินจึงได้ขอความช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่าย ซึ่งก็ใช้เวลานานหลายปีในการแสวงหาผู้ที่จะมาช่วยเหลือ สุดท้ายจึงได้รับความกรุณาจากหลวงตาเกรียง หรือ พระมหาเกรียงศักดิ์ โสภากุล ดร. (ธรรมวิจาโร) วัดโพธิ์บ้านโนนทัน ที่ท่านได้สละเวลาในการทำงานหลายเดือน เพื่อสร้างความกระจ่างในคำอีสานโบราณ กระทั่งช่วยแปลนิทานเรื่องนี้ให้ออกมาอย่างเข้าใจได้ง่าย และเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น แอดมินได้เสริมเนื้อเรื่องบางส่วนให้เรื่องสินไซที่ขาดหายไปบางตอนจากภาพวาด ด้วยงานวิจัยวรรณกรรมสินไซของ ดร.แก้วตา จันทรานุสรณ์ และ ผศ.ดร.ทรงวิทย์ พิมพะกรรณ์ ขอขอบพระคุณทั้งสองท่านเป็นอย่างสูงมาในโอกาสนี้เช่นกันค่ะ

**หมายเหตุ อาจมีการพิมพ์ผิดในต้นฉบับที่คัดลอกจากป้ายวัด โดยเฉพาะสลับกันระหว่างอักษร ข และ บ, ด และ ต, ก และ ถ, ห และ ท เป็นต้น เนื่องจากฟอนต์ที่ปรากฏบนป้าย มีลักษณะคล้ายกัน แยกออกยาก

  1. ยังมีนคเรศล้ำ เฮียกซื่อเป็งจาล พระยากุสราชครอง นั่งปองเป็นเจ้า มเหสีเหง้า จันทาเทียมราช โสมยิ่งย้อย ปุนปั้นแปกเขียน
    ยังมีนครใหญ่แห่งหนึ่งชื่อ “เป็งจาลนคร” มีพระยากุสราชเป็นผู้ครองนคร มีมเหสีนามว่า “จันทา” เป็นผู้มีรูปโฉมงดงามดั่งปูนปั้นภาพวาด
  1. อยู่สนุกเว้น อรหนหายโศก ท่อว่า ภูวนาถไฮ้ แนวน้องบ่หลาย มีท่อเยาวยอดแก้ว เป็นมิ่งใจเมือง นางลุนมี แม่เดียวเทียมท้าว
    ทั้งสองครองคู่กันมาด้วยความสุขปราศจากทุกข์โศก พระองค์มีพระขนิษฐานางหนึ่ง ที่เกิดจากแม่เดียวกัน ซึ่งเป็นมิ่งขวัญของชาวเมือง (เยาวยอด = เป็นคนดีศรีสังคม, ลุน = ลูกที่เกิดทีหลัง)
  1. เชียงหลวงล้น รุงรังล้านย่าน น้ำแผ่ล้อม ระวังต้ายซั่วพัน ฮุ่งค่ำเช้า ชาวเทศเที่ยวสะเภา อุดมโดย ดั่งดาวดิงส์ฟ้า
    เป็งจาลเป็นนครใหญ่ มีบ้านเรือนหนาแน่นตั้งเรียงรายติดต่อกันเป็นย่าน มีแม่น้ำล้อมรอบ มีแนวกำแพงป้องกันยาวสุดสายตา เช้าถึงเย็นมีชาวต่างชาตินำเรือสำเภามาจอดเทียบเพื่อค้าขาย เปรียบดั่งเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ก็ไม่ปาน (ต้ายซั่วพัน = กำแพงล้อมรอบ, ฮุ่งค่ำเช้า = ทุกวันเวลาเช้าเย็น
  1. ผากฎแท้ สุมุณฑาทรงฮูป โสมยิ่งเพี้ยง แพงไว้แว่นใจ ตะเกิงหน้า นงพาวเป็นสาวใหญ่ งามเลิศล้ำ ลือเท่าหมื่นเมือง
    น้องสาวของพระยากุศราชนี้นามว่า “สุมุณฑา” เมื่อเติบใหญ่ มีพระสิริโฉมงดงาม ร่ำลือไปทั่วจนเป็นที่หมายปองของกษัตริย์ในแว่นแคว้นต่าง ๆ (ผากฎ = ปรากฏ, ตะเกิงหน้า = โฉมหน้าสวย, นงพาว = เป็นสาวใหญ่เต็มตัว)
  1. กุมภัณฑ์ท้าว เนาในอโนราธ เป็นอาจใต้ลุ่มฟ้า สวงเสื้อส่วยสิน ท่อไป่มีเผ่าเพี้ยง พเยียยอดนารี เป็นพญาโทน อยู่เนานอนแล้ง
    กล่าวถึงพญายักษ์ผู้ครองเมืองอโนราช นามว่า “กุมภัณฑ์” ผู้เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหลายในแผ่นดิน บรรดายักษ์ทั้งหลายต้องส่งส่วยแก่มัน เป็นพญายักษ์ผู้อยู่เดียวดาย ไม่มีมเหสีเคียงกาย อยู่มาวันหนึ่งคิดอยากรู้ว่าเนื้อคู่ของตนเป็นใคร
  1. ค่อมฮ่ำแล้ว ลาราชปรางค์ทอง ฮวยมนตร์โอม แอ่วทะยานยังฟ้า เข้าขาบท้าว สุวรรณราชเทโว ภูมีชมชื่น ถามแถลงถ้อย
    พอคิดได้เช่นนั้น ก็ออกจากปราสาท ร่ายมนต์ทะยานเหาะไปบนท้องฟ้า ขึ้นไปกราบถวายบังคม พระยาเวสสุวรรณ เทวดาของยักษ์ทั้งปวง เพื่อไถ่ถามถึงเนื้อคู่ของตน (ค่อมฮ่ำแล้ว= พอพูดจบ พอคิดได้เช่นนั้น, ฮวยมนต์ = ร่ายมนตรา)
  1. องค์ตรัสซี้ เสาวันนีย์เนืองกล่าว นางนั้นลงเกิดก้ำ นครล้านโลกคน ก็ไป่มีเผ่าเชื้อ องค์เอกเทียมทรง ซื่อว่า สุมุณฑา ฮูปงามปานแต้ม
    พระยาเวสสุวรรณ จึงบอกว่าเนื้อคู่ไปเกิดอยู่ที่เมืองมนุษย์ เป็นคนละพงษ์เชื้อเผ่าพันธุ์กัน มีนามว่าสุมุณฑา เป็นผู้มีศิริโฉมงดงามปานภาพวาด (ตรัสซี้ เสาวันนีย์ = พูดออกไปด้วยวาจาเพราะๆ, ละพงษ์เชื้อ = จากตระกุล วงษาคณาญาติ)
  1. กุมภัณฑ์ฮู้ข่าวน้อง นางนาถสุมุณฑา ใจถวิลหา อ่าวกระสันเถิงน้อง โสมเสลาหล่า สุมุณฑานางนาถ น้องนั้นอยู่เขตก้ำ ใดนั้นสิด่วนเถิง
    เมื่อกุมภัณฑ์รู้ว่าเนื้อคู่คือนางสุมุณฑา ก็มีใจถวิลหายิ่งนัก คิดถึงนางนาถผู้มีรูปโฉมโสภา อยากรู้ว่าน้องนั้นอยู่ ณ ที่แห่งหนใด (โสมเสลา = รูปร่างพระนางสุมุณฑางดงาม)
  1. เมื่อนั้น หมอโหรแจ้ง ทูลทันเทวราช ตามเหตุเบื้อง พระองค์เจ้าเล่าฝัน เกรงจักเสียกษัตริย์เจ้า ใจเมืองนางนาถ ท่านนั้นเคราะห์ฆาตเข้า ปีฮ้ายฮ่วมมา
    พระยากุศราชทรงพระสุบินว่ามีคนหน้าตาคล้ายยักษ์เข้ามาฟันแขนขวาพระองค์ขาด หมอโหรทำนายว่าพระองค์อาจจะต้องสูญเสียน้องสาวอันเป็นมิ่งขวัญของเมืองไป เพราะปีนี้มีเคราะห์ร้ายเข้ามาแทรก (ปีฮ้ายฮ่วมมา = ปีนี้ไม่ดีจะมีเหตุร้ายเข้ามา)
  1. ฝูงแกว่นไกล้ เฮียกฮ่ำโฮมขวัญ เซ็น เซ็น ชลธา ท่าวเททั้งค่าย แม่งหนึ่ง คำเถิงไท้ เทวีพลันฮอด แล้วจึ่งจัดดอกไม้ ถวยไท้เฮียกขวัญ
    ผู้ใกล้ชิดต่างร้องเรียกขวัญให้มาประชุมกัน ด้วยอาการสั่นกลัว น้ำตาไหล และสลบไปหมด เมื่อข่าวไปถึงหูของนางสุมุณฑา นางจึงรีบมา แล้วจัดดอกไม้ถวายเรียกขวัญ (เฮียกฮ่ำโฮมขวัญ = ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ, เซ็น ชลธา = ร้องไห้ น้ำตาตก, ถวยไท้เฮียกขวัญ = หมอพราsมณ์เรียกขวัญ)
  1. สุมุณฑาอยู่บ่ได้ ในปรางค์ผาสาท จึงได้ยัวระยาตรย้าย เข้าสู่สวนหลวง อยากชมมาลา ดอกดวงสวนแก้ว สายแนมาฮอดแล้ว นางแก้วอยู่บ่เป็น
    นางสุมุณฑาอยู่ในปราสาทไม่ได้ จึงได้เดินทางไปสวนหลวง อยากชมดอกไม้ เรื่องคู่ครองนั้นมาแล้วทำให้นางกระวนกระวายใจ (ผาสาท = ปราสาท, ได้ยัวระยาตร = เดินไป, สายแนมาฮอด = บุญวาสนาได้พามาพบกัน)
  1. ขุนมารค้ำ คะนิงในฮีฮ่ำ ฮู้บ่พลั้ง พระองค์คุ้มแบกกระบอง สวยจักรแก้ว กลอยใจทะจรเมฆ คือคู่ยนต์ยาตรผ่าย ผยองล้ำล่วงบน
    ฝ่ายท้าวยักษ์กุมภัณฑ์คิดถึงนาง นำเอากระบองและอาวุธคู่ใจ ขึ้นยนต์เหาะทะยานไปบนเมฆ บินบนอากาศล่วงเลยไป (คะนิงในฮีฮ่ำ = คิดถึงตลอดเวลา)
  1. นางคานต้าน เตินเขาข้าหนุ่ม ให้ฮีบฮ้อย ดวงเข้มขาบถวย เขาก็ฮ่อง ฮ่องหน้า ฝูงศรีสาวก่าว ถวยดอกไม้ นางแก้วซู่คน
    นางผู้ติดตามป่าวประกาศ เตือนหนุ่มให้รีบร้อยดอกไม้ใส่กรวย เขาก็ล้อมหน้าเกี้ยวพาราสี มอบให้หญิงสาว(นางแก้ว)ผู้ที่ตนรักทุกคน (ต้าน เตินเขา = เรียก, ให้ฮีบฮ้อย = รีบเร่ง รีบด่วน, เข้มขาบถวย = กราบทูล)
  1. ลมล่วงก้อง กวยกิ่งสักขา สุรพาเผย บ่ายสีแสงส่วย มหายักษ์ผู้ จังไฮฮู้เหตุ มันก็ฮวยอาคม ผาบผีซุมเซื้อ
    ลมที่พัดพาโน้มลง พระอาทิตย์สาดแสงยามบ่าย มหายักษ์ก็ได้ร่ายอาคมปราบผีที่คุ้มครองนางสุมุณทาอยู่ ให้แพ้ไป (จังไฮฮู้เหตุ = คนจัญไร, ก็ฮวยอาคม = เสกคาถาอาคม, ผาบผีซุมเซื้อ =ปราบผีเชื้อตระกูล)
  1. เมื่อนั้น ผีเมืองย้าย ยักโขขามเดช ละหน่อแก้ว กลางห้องพ่ายพัง บ่อาจขัดขวางได้ อาคมยักษ์ใหญ่ จึ่งปล่อยไว้ ในหั่นผู้เดี้ยว
    เมื่อนั้น ผีเมืองกลัวยักษ์ที่มีพละกำลังมาก จึงไม่สามารถขัดขวางอาคมของยักษ์ไว้ได้ จึงปล่อยนางเอาไว้คนเดียว (ผู้เดี้ยว = ให้อยู่คนเดียว)
  1. เมื่อนั้น ยักษ์ใหญ่ผ่าย ทะยานฮอดปุนเปือง กุมเอานางนงพาว พรากพลพลันได้ มันแสวงขึ้น เวหาปอมเมฆ อุ้มอ่อนแก้ว ซะแคงตุ้มต่อมขวัญ
    เมื่อนั้น ยักษ์ใหญ่จึงทะยานอย่างเร็วไว และเหาะไปยังท้องฟ้าจนถึงเมฆ โดยมีนางสุมุณทาที่โดนอุ้มอยู่นอนตะแคงตัวอ่อนอยู่ในอก (ฮอดปุนเปือง = กระโจนเข้าไปอย่างเร็ว, นางนงพาว = สาวงาม, ซะแคงตุ้ม = ประคองกอดอุ้มเอา)
  1. เฮาใคร่ละท่อนท้าว ทรงผนวชเป็นสมณ์ ดูดั่ง เวราลาม คอบคิงคุงเนื้อ ใคร่จักโคจรดั้น เดินนำน้องนาถ ดั้นรอบบ้าน ถามซั้นสืบดู
    กล่าวถึงพระยากุสราช ผ่านไปสามเดือนยังคิดถึงน้องสาว จึงออกบวชและติดตามหาสืบดู (เป็นสมณ์ = บวชเป็นสมณะ, เวราลาม คอบคิง = เวลาควบคุมลุมเล้าตลอดเวลา)
  1. เมื่อนั้น มหาเถรเจ้า ทรงธรรมกุสราช เจ้าก็ไปจอดยั้ง มะรามกว้างนอกเวียง ใจสลาดน้อม นบน้อมราชครู ขออาศัย สำราญดอมเจ้า
    เมื่อนั้นพระยากุสราชผู้เป็นพระแล้ว ได้ธุดงค์มาหยุดพักที่อารามกว้างนอกเมือง มีความฉลาดเป็นผู้รู้จักนอบน้อมเข้าหาท่านราชครู ขอพักอาศัยอยู่สบายกายใจกับท่าน
  1. เมื่อนั้น ราชครูต้าน ตามธรรมไขข่าว คันว่า พ้นแห่งหั่น แดนด้าวยักษ์หลวง เป็นอาจแท้ ท้าวชื่อกุมภัณฑ์ เตโชเพียงนารายณ์ กล้าเกิ่งกันแหล่ว
    เมื่อนั้น ท่านราชครูได้เล่าเพื่อไขความกระจ่าง อันว่าพ้นจากที่นี่ไป จะเป็นแดนของยักษ์ ชื่อท้าวกุมภัณฑ์ มีฤทธิ์เดชความกล้าเท่าพระนารายณ์ (กล้าเกิ่งกันแหล่ว = กล้าเก่งมากๆ)
  1. พอเมื่อ มหาเถรไท้ ทรงธรรมกุสราช เดินฮอดแล้ว กลางคุ้มข่วงปรางค์ เจ็ดธิดาพร้อม กันมาใส่บาตร มหาเถรราชเจ้า แลแล้วลวดกระสัน
    พอเมื่อพระยากุสราชผู้เป็นพระ เดินมาบินฑบาตรที่กลางคุ้มบ้านของเศรษฐี ลูกสาวเศรษฐี 7 คน พากันมาใส่บาตร พระยากุสราชมองเห็นแล้วก็รู้สึกชอบพอ
  1. ขุนคอนน้อม มัสการฮับพากย์ พระบาทเจ้า ภายพุ้นแต่งมา พระหากประสงค์ พระยอดนางนามท้าว เป็นสายเชื้อ เศรษฐีหลวงลูกมิ่ง
    เศรษฐีผู้เป็นบิดาน้อมรับกระแสรับสั่ง หากพระยากุสราชมีพระประสงค์อยากได้นางทั้ง 7 เป็นคู่ครอง (มัสการฮับพากย์ = กราบทูลรับทราบ, ภายพุ้นแต่งมา = เจ้าเหนือหัวบอกมา)
  1. ดูรา ทั้งปวงไท้ ธิดาเจ้าพ่อ กูเฮ้ย ภูเบศเจ้าลุ่มฟ้า ประสงค์น้อยซู่นาง สะพรั่งพร้อม เนืองนอบประนมกร ฝูงข้าเป็นธิดา ซิว่าลือลอนได้
    ดูก่อน ธิดาของพ่อ ท่านประสงค์อยากแต่งกับทุกคน นางทั้งหลายยกมือขึ้นพนม พวกลูกเป็นธิดาพร้อมน้อมรับคำพูดของพ่อ แล้วแต่พ่อจะว่าอย่างไร
  1. เมื่อนั้น มหาชัยได้ หมอเมืองทูลคอบ พระบาทเจ้า จูงน้องสู่ริน ทั้งปวงขึ้น เหนือกองรัตนอุตมะน้ำ ประสงค์ล้างหลั่งลง
    เมื่อนั้น พระยากุสราสได้หมอเมืองมาทำพิธี กษัตริย์ได้จูงนางทั้งหมด ทำพิธีรดน้ำสังข์
  1. บอระบวนแล้ว ลาจากเป็งจาล ชาวจำปา ต่าวคืนเมือบ้าน เขียวคืนข้าม อารัญญาหลายย่าน หลายพรำมื้อ เถิงแล้วขาบทูล
    จัดขบวนแล้ว ก็พากันลากลับเมืองเป็งจาล ชาวจำปาต่างกลับคืนสู่บ้าน ทั้งหมดเดินผ่านป่าหลายแห่ง หลายวัน พอมาถึงอำมาตย์ก็รีบเข้ากราบทูลพระราชา (ต่าวคืนเมือบ้าน = รีบกลับคืนบ้าน, อารัญญาหลายย่าน = มีป่าหลายแห่ง)
  1. สะพรั่งหน้า ชาวแม่มเหสี กลอยใจจง แต่งปุนประดับน้อม ฮ่อง ฮ่อง นิ้ว ทูลเถิงทุกทีป วอนเทพไท้ ทั้งค่ายโผดผาย
    มเหสีทั้งหมดของท้าวกุสราชพร้อมหน้า แต่งสิ่งสักการะพนมมือขอพรเทพยดา อธิษฐานขอลูก (แต่งปุนประดับ = ประดับตกแต่ง, ฮ่อง ฮ่อง นิ้ว = ประนมมือนบนอบ, โผดผาย = แล้วแต่จะโปรดปราณ)
  1. สังข์ทองท้าว อานุชาเสด็จออก ตกกล่อมกลิ้ง เหนือผ้าแผ่นคำ ตนประเสริฐเจ้า เจียระจากเสด็จตาม ทรงศิลป์ศร ดาบเลยลงม่ม
    โอรสของพระอินทร์ได้อาสาลงมาสู่ครรภ์ของนางจันทา 1 องค์ และอีกสององค์พร้อมกันลงมาสู่ครรภ์นางลุน ซึ่งเป็นน้องสาวคนสุดท้องของนางทั้งเจ็ด สังข์ทองและพระอนุชาคลอดออกมาบนผ้าทองคำ ตามมาด้วยศรและดาบพร้อมกัน (เจียระจากเสด็จตาม = เสด็จออกตามมา, เลยลงม่ม = รอดพ้น)
  1. ลังอาเยี่ยม ในมือมีเดช พร้อมมอดเมี้ยน เตินซ้ำซ่อยอำ เขาก็โจมแจ่มเจ้า สรงโสรจคันธา แพคำปก ผอกพรายโพงเป้า
    หอยสังข์ออกมาก่อนแล้วก็ตามด้วยสินไซ ถืออาวุธออกมาพร้อมกัน เป็นอาวุธมีเดชมาก ต่อสู้ใครๆ ตายหมด พอออกมาพวกบ่าวไพร่ก็ยกเอาไปอาบน้ำ โสดสรงด้วยน้ำหอม ห่มด้วยผ้าทองคำ แล้วทำพิธีปัดเป่าผอกผีเป้าผีโพรงตามประเพณีอีสานให้กับเด็กแรกเกิดเอาใส่กระด้ง (เตินซ้ำซ่อยอำ = ช่วยกัน, สรงโสรจคันธา = เอาน้ำหอมสรง คืออาบด้วยน้ำหอม, ผอกพรายโพรง = เรียกขวัญ ไล่ปอบผีให้อยู่เย็นเป็นสุข)
  1. หมอก็วางสอไว้ ทูลทวยช่วยพระเนตร ดีท่อเจ้าขม่อมหล้า หอซ้อยโชคมี กับทั้งจันทาแก้ว เกณฑ์เกิ่งมหาอุด ฮ้อยจักมีซายเซ็ง เกิดมาในท้อง
    หมอโหรวางดินสอกราบทูลว่า ลูกที่เกิดมาจะดีเท่ากับพระองค์ เป็นผู้มีความเบิกบาน กับทั้งนางจันทา ก็มีเกณฑ์เท่าเทียม จะได้ลูกชายที่มีชื่อเสียง เกียรติยศขจรไกล (หอซ้อยโชคมี = เป็นเด็กที่มีบุญวาสนา คนมีบุญลงมาเกิด, เกณฑ์เกิ่งมหาอุด = เป็นคนดีที่มาเกิด, ฮ้อยจักมีซายเซ็ง = ลงมาเกิดร่วมท้อง)

…แต่ต่อมามีหญิงร้อยเล่ห์เข้ามาหาและตีสนิทจนนางปทุมมาผู้พี่คนโตของนางทั้งเจ็ดไว้ใจ หญิงนั้นทำยาเสน่ห์ให้ท้าวกุสราชหลงใหลนางทั้งหก พร้อมทั้งให้สินบนโหรให้กลับทำนายใหม่ ทำให้นางจันทาและนางลุน ถูกเนรเทศ ต้องพาลูกออกจากเมือง

  1. สองกษัตริย์อุ้ม เอาศรีสามอ่อน ทวยท่อนผ้า ผายตุ้มค่อยลง ฝูงไพร่พร้อม นองเนตรเหลือหลาย ตีทรวงทุกข์ ทั่วเมืองเฟื่อนฟื้น
    สองกษัตริย์อุ้ม เอาลูกน้อยทั้งสามคนใส่ผ้าตุ้มลงมา มีฝูงชนมารอ ต่างน้ำตาไหลเป็นทุกข์ทั่วเมือง
  1. อันนี้ ปรางค์คำไท้ เทโวอินทราช ทานแก่เจ้า ทั้งห้าหน่อพุทโธ อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำ ซื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า…
    ที่นี้คือที่พักของผู้เป็นใหญ่ที่พระอินทร์ได้ประทานแก่ทั้ง 5 องค์ พระอินทร์ทรงเขียนลงในใบลานว่า ชื่อ สังสินไซ มีฤทธิ์เดชทั่วโลกร่ำลือ (สังสินไซ = สังข์ทองกับสินไซ, อินทราช ทานแก่เจ้า  หน่อพุทโธ = พระอินทร์ประทานให้โดยเป็นเชื้อพระพุทธเจ้า, ลือฤทธีกล้า = มีฤทธิ์เดชเลิศล้ำ)
  1. สรรพสิ่งช้าง เดียระดาษแสนสัตว์ ไกสรสีห์ ซู่คณาเนืองเต้า เสือสางเหม้น เหมยหมีหมาป่า ลิงวอกเต้น โตนค้างค่างชะนี
    ทุกสรรพสิ่ง ทั้งช้าง ทั้งสัตว์ป่า สิงโต ส่งเสียงขู่ดังทั้งฝูง เสือสาง เม่น ควายป่า หมี หมาป่า ลิงวอกเต้น ค่าง ชะนี ห้อยโหนตามกิ่งไม้ไปมา (เดียระดาษ = มีมากมายในป่า, เหม้น เหมยหมีหมาป่า= เม่น ควายป่า หมี หมาป่า)
  1. เค้ง เค้ง ก้อง คณาเนืองครุฑราช แหนแห่เจ้า โดยล้านล่วงไป มินานเท่า เถิงสถานท้าวเอก ครุฑราชเจ้า ลงเข้าขาบพระองค์
    เสียงดังก้อง เมืองพญาครุฑ พญาครุฑจึงนำไพร่พลทั้งหลายมาถวายเครื่องบรรณาการพร้อมให้การอารักขา

…ทั้งสามองค์เจริญเติบโตขึ้นด้วยความรักสามัคคีกัน วันหนึ่งสินไซได้ขอธนูศิลป์หรือศร กับดาบ หรือตาว จากแม่ของตน เมื่อนางจันทามอบให้แล้ว สินไซก็แสดงการใช้ดาบและศรได้อย่างคล่องแคล่ว สินไซยิงธนูไปตกถึงด้านหน้าพญาครุฑในนครสิมพลี จากนั้นก็ได้ยิงธนูไปตกที่ด้านหน้าของพญานาค พญานาคก็นำไพล่พลมาถวายเครื่องบรรณาการและเฝ้าอารักขาเช่นกัน

  1. พระก็ให้หาแก้ว กุมมารมาฮืบ หกพี่น้อง โดยพร้อมพรำกัน ประดับนั่งล้อม โดยฮีตเฮียงถัน ทันยำพระ พ่อพระยาเยืองถ้อย
    ฝ่ายพระยากุสราช สั่งให้ลูกชายที่เกิดจากนางทั้งหก มาประชุมนั่งล้อมวงพูดคุยกัน ลูกทุกคนต่างก็ยำเกรงพระยากุสราช (กุมมารมาฮืบ = ตามกุมารทั้งหมดมาโดยเร็ว, โดยฮีตเฮียงถัน = นั่งเรียงกันเป็นแถว)

…ทั้งหมดต้องออกเดินทางไปเรียนวิชาต่างๆ เป็นวิชาติดตัวใช้สำหรับติดตามนางสุมนทา

  1. หกกษัตริย์เข้า คีรีแถวเถื่อน แยงช่องชั้น เหวห้วยฮ่อมผา คึดแม่ป้า ทั้งพวกภายหลัง ฟังยิน อุมลัวเหิน โห่กันกลางห้วย
    โอรสทั้งหกเดินทางเข้าไปในป่า ตามช่องเหว ลำห้วยอ้อมผา คิดถึงแม่ป้าและเพื่อนที่อยู่วัง ได้ยินแต่เสียงนกอุมลัว เซ็งแซ่บินไปมากลางลำห้วย (อุมลัว = เรียกรวมกันของนกหลายชนิดในป่า เช่น นกกระปูด นกกาเหว่า เป็นต้น)
  1. หกพี่น้อง ทะยานเกียดกลัววาย ทะยานตนตก ตลิ่งหินเหวถ้ำ สินไซท้าว จอมทะนงนำเฮียก หกพี่น้อง ฟังชั่นชื่นใจ
    หกพี่น้องตะเกียกตะกายกลัวตาย ตกลงไปในตลิ่งเหวถ้ำ พอได้ยินเสียงสินไซจอมทระนงร้องเรียก ดีใจว่ามีคนมาช่วย (เฮียก = เรียกหา)
  1. พระบอกให้ ฝูงหมู่มีฤทธิ์ ทั้งปวงสัตว์ สู่สนามเนืองฮู้ สูจงเอากันเข้า เป็งจาลนคเรศ พระบาทเจ้า เมืองนั้นใคร่ดู
    พี่ทั้งหกโกหกพญาผู้เป็นบิดาว่าตนเองไปเรียนวิชาสำเร็จมีวิชาเรียกสัตว์ต่างๆ มารวมกันได้ พ่อพญาจึงบอกให้ทำให้ดู แต่พี่ทั้งหกทำไม่เป็น จึงไปบอกสินไซว่าพระบิดาอยากทอดพระเนตร ขอให้สินไซเรียกสัตว์ต่างๆ เข้าเมือง
  1. คันว่า กลายด่านด้าว เดินฮอดกุมภัณฑ์ มันนั้นลางลือเขา ข่าวเซ็งเซิงกล้า ให้ลูกสามคนเจ้า จงใจเจียมถี่ อันที่หกหลานแท้ ใจย่อมอย่าเชื่อ เขาเน้อ
    นางจันทากับนางลุน สั่งสอนว่า หากเลยด่านไปถึงกุมภัณฑ์ มันจะผ่านป่าเขาอันตราย ให้ลูกสามคนจงระวังให้ดี รวมถึงหกคนที่เป็นหลานนั้น ก็อย่าเชื่อใจเขามาก
  1. ง้าวก็ตัดขาดข่อน ฟันแห่งหัวทลาย งูซวงตายเต็ม หว่างดอยดูฮ้าย การสะเด็ดเมี้ยน ทั้งสองลงอาบ เฮียกพี่น้อง ฝูงอ้ายออกมา
    ด่านแรกคือ ด่านงูซวง คือ งูใหญ่ สินไซเอาง้าวฟันงูเป็นท่อนตายเต็มเขา เสร็จแล้วก็เรียกพี่น้องออกมาเดินทางต่อไป

…ต่อมาเป็นด่านฝูงช้าง มีพระยาฉัททันต์เป็นหัวหน้า จะฆ่าสินไซ สินไซใช้ศรยิงล้มลงระเนระนาด จนยอมแพ้ บอกว่าเห็นยักษ์อุ้มนางสุมุณทาเหาะผ่านไป และยอมให้ขี่คอพาไปส่งจนสุดเขตแดน สินไซสอนให้ช้างอย่าทำร้ายเบียดเบียนคนอื่น

  1. พ่าง พ่าง น้ำ ชลเนตรนองไหล กลัวตายทุก ทั่วแดนดูฮ้าย นาโคเยื้อน โยมความขอโทษ เจ้าจงโผดข้าเฒ่า ทั้งเชื้อซู่ซุม
    ช้างน้ำตาไหล กลัวตายทุกทั่วแดน ยอมแพ้ขอโทษ ขอท่านได้ปล่อยพวกข้าผู้ชราและครอบครัวทั้งหมด
  1. ยักษ์ถ่อยฮ้าย หีนโหดปาปัง กู่บ่อมาฮาวี ฝ่ายสูสะหาวท้า ถ้าว่า มิยอมแท้ ชีวังมึงวางขาด ไผผู้ต้องต่อหน้า เจียระม้วยมอดชีวัง
    กูไม่มาเบียดเบียน ฝ่ายสูเจ้าทำไมมาจองหองท้ารบ ถ้าว่าไม่ยอมสู้แพ้ ชีวิตมึงก็ขาด ใครมาต่อสู้ซึ่งหน้า เห็นทีจะต้องตาย

…และมาถึงด่านยักสี่ตน ได้แก่ กันดานยักษ์ จิตตยักษ์ ไชยยักษ์ และวิไชยยักษ์ ได้สู้รบกัน

  1. เค้ง เค้ง ฮ้อง ฮนตายเต็มแผ่น พร้อมมอดเมี้ยน ศรฆ่าบ่หลอ พ่าง พ่าง ล้น เลาเลือดหลามไหล เป็นแปวลุก ทั่วแดนดูฮ้าย
    เค้ง เค้ง ร้อง กระวนกระวาย ตายเต็มไปหมด เพราะศรฆ่าไม่เหลือ พ่าง พ่าง ล้น มีแต่เลือดไหลเป็นไฟลุก ทั่วแดนดูร้าย (เค้ง เค้ง ฮ้อง ฮนตาย = เสียงร้อง เป็นอันตราย, แปวลุก ทั่วแดนดูฮ้าย = เปลวไฟลุกทั่วแผ่นดินดูน่ากลัว)
  1. แล้วล่วงเท่า เถิงแม่พระคุงคา สังข์ทองหยุด อยู่คองคอยท้าว น้ำนั้น เลิกและกว้าง สี่โยชน์สังขยา ภูธรพระ หอดแฮงนำน้อง
    แล้วก็มาถึงแม่น้ำคงคา สังข์ทองหยุดคอยสินไซ น้ำนั้นทั้งลึกและกว้างสี่โยชน์ สังข์แปลงกายเป็นเรือให้สินไซขี่ข้ามไปได้ (อยู่คองคอยท้าว = รอคอย, หอดแฮงนำน้อง = รอน้องจนอ่อนใจ)

.. มาถึงด่านยักษ์ขินี เป็นหญิงอายุมากกว่าสินไซ พอเห็นสินไซก็เกิดกามราคะกำหนัดจึงเนรมิตศาลาที่พักอาหารการกินพร้อมบริบูรณ์ แล้วแปลงกายเป็นหญิงสวยดั่งนางฟ้า เชิญชวนให้สินไซพักผ่อน บอกว่าเป็นธิดาเจ้าเมืองหลงมาอยู่ในป่าขอเป็นคู่ แม้เพียงได้หลับนอนด้วยก็ดี สินไซเดินหนีไป มันจึงวิ่งตามว่า ถ้ามีเมียแล้วขอเป็นเมียน้อยก็ได้ ตอนแรกสินไซก็นึกเอ็นดูว่าน่ารัก แต่พอดูแล้วเห็นแววตาก็รู้ว่าไม่ใช่คน จึงรีบเดินหนี มันเดินตามเจรจาต่อรองต่างๆ ไปจนสุดเขตแดนเขตแม่น้ำ เมื่อเห็นว่าไม่มันมันจึงตะโกนด่าอย่างหยาบคาย

  1. ขาก็ซัดเข้าใกล้ คะนึงถืกถือทรวง เยียวว่า เทพาผาย โผดยวงยามไฮ้ พระก็แลดูซั้น แสงตาแข็งขนาด เลยเล่าตรัสส่องฮู้ กระบวนแม่งแม่นผี
    ขาก็พาเดินเข้าใกล้ นึกว่าเทวดารูปร่างสวยงาม แต่พอสังข์มองดูถ้วนถี่ มองไปมองมาก็รู้ว่าเป็นผี (คะนึงถืกถือทรวง = เข้าไปใกล้ๆ, โผดยวงยาม = โปรดผาย ,ข่วยเหลือ, แม่งแม่นผี = มันเป็นผี)
  1. แม่งหนึ่ง เถิงสถานกว้าง นารีลิวลี่ ที่นั้น อินทร์ปลูกไว้ ตางส้มแก่สมณ์ อันว่า นารีนี้ คือหญิงยวดยิ่ง ล่างเล่าไว้ พอเพี้ยงเพศเพียง
    แล้วสินไซก็เดินทางมาถึงยังต้นนารีผลหรือมักรีผล เป็นสถานที่ของดาบส ฤษี วิทยาธร มาเที่ยวเล่น เป็นสถานที่กว้าง มีต้นนารีผล หรือ มักรีผล ที่นั่นพระอินทร์ได้ปลูกเอาไว้เหมือนส้มแก่นักบวช อันว่านารีผลนี้คือเพศหญิง อย่างที่เล่าไว้ มีเพียงเพศเดียว (แม่งหนึ่ง = ประเดี๋ยวเดียวก็เข้าถึง, ตางส้มแก่สมณ์ = ปลูกไว้นักพรต หรือนักบวช)

…หลังจากผ่านด่านยักษ์อัสสมุขี (ไม่ปรากฏในภาพจิตรกรรม) จึงไปเจอต้นกาลพฤกษ์ มีดอกเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ดั่งเครื่องทรงของเทพ จึงเปลี่ยนเสื้อผ้า และที่นี่มีบ่อแก้วบ่อทองเพชร น้ำใสสะอาด สินไซได้พักแล้วเดินทางต่อไป

  1. ฟังยิน เค้ง เค้ง น้ำ โตนเต็งตามตาด น้ำนั้น ไหลแต่ท้าง ผาล้านล่วงลง มีบ่อแก้ว เดียระดาษโดยทราย เป็นแปวลุก ฮุ่งสีแสงแจ้ง
    ฟังได้ยิน เค้ง เค้ง น้ำ ตกลงมาเต็มลานหิน แล้วไหลตามผาลงมา มีบ่อแก้วเต็มไปด้วยทรายเป็นแสงสีสว่างสวยงาม (เดียระดาษ = ดาระดาษเต็มพื้น, เป็นแปวลุก ฮุ่งสีแสงแจ้ง = เปลวไฟ แสงสว่าง)
  1. ที่นั่น เป็นขว่างกว้าง นางเทพกินรี มวลมาพอพันสาว ซู่วันลงเล่น เขานั้น เป็นพงษ์เซื้อ ผาจวงถ้ำแอ่น เป็นลูกไท้ เทวะท้าวมิ่งแมน
    สินไซเดินทางมาถึงที่อยู่ของเทพกินรี ที่นี่ เป็นที่กว้าง นางเทพกินรี พากันมาลงเล่นน้ำ เป็นเชื้อสายของเทพเทวดาผาจวงถ้ำแอ่น (เป็นขว่างกว้าง = เป็นลานกว้าง, เป็นพงษ์เซื้อ = เป็นชาติเชื้อเผ่าพันธุ์)

ต่อมาสินไซก็ได้นางเกียงคำ กินรี เป็นคู่ชีวิต และสัญญาว่าจะกลับมาหานางอีก ก่อนออกเดินทางไปติดตามอาต่อไป..

  1. กุมภัณฑ์กล้า จังไฮหีนโหด มันก็นอนแนบน้อง ในห้องแท่นลาย คืนนั้น หลับผอกพ้น จนหล่าหลงจิต ลายเหยเห็ง เสดฟองฟูนย้อย
    ยักษ์กุมภัณฑ์นอนกับนางมณฑา นอนกรนเสียงดังมีน้ำลายไหลย้อยออกมา ทั้งมีเสลดออกมาบนที่นอน (จังไฮหีนโหด = เป็นคนจันไล, จนหล่าหลงจิต = หมดสติ, ลายเหยเห็ง เสดฟองฟูนย้อย = น้ำลายไหลย้อย)
  1. ยังเล่าเหลียวหลังเยี่ยม พันทีฮ้อยเล่า หลายเล่าชั้น สวงเสื้อสั่งเมีย แล้วถือกระบอง ง้าวเงือดขวานเพชร แยงไพรสณฑ์ สอดแสวงหาเนื้อ
    วันนั้นยักษ์กุมภัณฑ์จะออกไปล่าสัตว์ในป่า ก็สั่งเสียเมียเป็นเวลานานสั่งแล้วสั่งอีก เดินไปก็หันหลังกลับมามองเมียอีก ในที่สุดก็ตัดสินใจจับเอากระบอง ง้าว เงือดขวานเพชร ออกไปสู่ป่าเพื่อล่าสัตว์ปกติ (พันทีฮ้อยเล่า = หลายพันรอบ, สวงเสื้อสั่งเมีย = สั่งเสียเมีย)
  1. กูจักไขทวนห้อง เป็นลือย้านหย่อน กูจักทำแป่ม้าง ไผสิต้องต่อกู ขาก็ทวยมือต้อง กระดานหนาหนักหมื่น ศรเสียบจ้ำ กระแจฟ้งหลูดไล
    สินไซเปิดประตูห้องที่นางมณฑานอน แบบไม่กลัวใคร ไม่มีใครมาห้ามเราได้ ว่าแล้วก็เอาศรเสียบเข้าที่ประตูที่มีบานประตูหนักมาก พอศรเสียบเข้าไปกุญแจก็แตกออกประตูก็เปิดออกง่ายดาย (เป็นลือย้านหย่อน = มีหรือเราจะกลัว (ย้าน แปลว่ากลัว), ทำแป่ม้าง = ทำลายให้เพพัง, หลูดไล = พังทะลายหมด)
  1. อาก็โจมเอาน้อย นงปรางค์ไปเซือง ไว้ที่กองดอกไม้ เหยแห้งขอกเสา มันก็กลั้วกลิ่นได้ ดูสาบคาวคน มีไผกลาย ท่องเที่ยวทางนี้
    สุมนทาเอาสินไซไปซ่อนไว้ที่กองดอกไม้แห้งซอกเสา แต่ยักษ์ก็ได้กลิ่นสาบคน จึงถามว่ามีใครผ่านมาเที่ยวที่นี่
  1. ภูวนากฮู้ ยักษ์ใหญ่นอนหลับ บาก็ผายคิงควร ออกมายืนเยี่ยม ทวยมือน้าว เอาอามานอก อย่าอยู่ช้า เดินดั้นดุ่งไป
    สินไซรอจนรู้ว่ายักษ์ใหญ่นอนหลับ ก็จับมืออาออกมาด้านนอก บอกว่าอย่าช้า ให้รีบออกเดินทาง (ผายคิงควร = ออกไปข้างนอก, ดั้นดุ่งไป = เดินไปเรื่อยๆ, ไปเซือง = เอาไปซ่อนไว้ที่อื่น)

นางสุมุณฑายังมีใจรักต่อยักษ์กุมภัณฑ์อยู่ ไม่อยากจากไป สินไซก็รีบเร่งให้นางออกนอกปราสาท เพราะกลัวยักษ์จะตื่นขึ้นมาก่อน

  1. นางก็ทูลหลานแก้ว กูร์ณาผายโผด อาก็ลืมแผ่นผ้า สไบบ้างค่าควร อาก็ลืมปิ่นเกล้า หัวแก้วค่าคาม แล้วก็พรางภูมี ว่าลืมยังซ้อง
    นางสุมุณฑาก็เลยโกหกหลาน ทีแรกก็บอกว่าลืมผ้าสไบเบี่ยง ลืมปิ่นปักผม ลืมกระทั่งซ้องปักผม (กูร์ณาผายโผด = กรุณาโปรดปราณี)

…สุดท้ายสินไซก็พาออกไปถึงนอกเมืองจนได้ แล้วพาไปพักอยู่ในถ้ำ

  1. ที่นั้น มีถ้ำแก้ว เฮืองฮาบคูหา เป็นเพื่ออินทาทาน แต่งปุนประดับไว้ พระก็พาอาเข้า คูหาถ้ำแอ่น มีทั้งข้าวและน้ำ เทวะท้าวแต่งแปง
    ที่นั่นมีถ้ำแก้วที่พื้นภายในถ้ำราบเรียบดี เพราะเป็นถ้ำพระอินทร์ได้เนรมิตเอาไว้ให้ ท้าวสินไซก็นำเอานางสุมุณฑาเข้าไปพักในถ้ำแอ่น ซึ่งมีทั้งข้าวและน้ำ ที่เทวดาได้จัดเตรียมไว้ให้ (เฮืองฮาบคูหา = พื้นที่ในถ้ำราบเรียบ, แต่งแปง = ตกแต่งไว้)
  1. สองแสวงเข้า ไปยืนเยี่ยมผ่อ บาบ่พลั้ง ทรงง้าวเงือดฟัน คอขาดฟ้ง ตำแตกฝาทลาย มันฮีบลุก เลือดฮวยลงล้น
    หลังจากนางสุมุณฑาไปพักในถ้ำผาแด่นแล้ว สินไซก็กลับไปเมืองอโนราชอีก เพื่อฆ่ายักษ์กุมภัณฑ์ สินไซหลังกลับไปเลียบมองดูก็เห็นกุมภัณฑ์นอนอยู่ ท้าวก็เงื้อดาบฟันเข้าเต็มที่ มันรีบลุกขึ้น เลือดไหลลงนองพื้น

…จากนั้นยักษ์ก็กลับจับเอาร่างมาต่อกันเข้าอีกเป็นเจ็ดร่าง และกลายเป็นสิบเก้าร่าง เป็นสองเท่าทวีคูณแสนเป็นล้านร่าง

  1. บัดนี้ เศิกฝ่ายฟ้า ท้าวซื่อเป็งจาล มันก็มาชิงชู ยาดเมียกูได้ มีตาวกล้า ศรสังข์สิทธิเดช สูจงฮีบฟั่งฟ้าว เอาน้องพี่มา
    ถึงตอนนี้ จะทำศึกกับเจ้าเมืองเป็งจาล มันมาแย่งเอาเมียกู เตรียมอาวุธให้พร้อม พวกเจ้าจงรีบลุกเตรียมตัว แล้วไปเอานางสุมุณฑากลับมา
  1. ภูบาลเห็น จาสังข์แสวงก่อน เฮาค่อยย้ายแต่นี้ เมื่อหน้าเคี่ยนคาว พร้อมจากถ้ำ เดินดุ่งพระคีรี นางคานคึด บ่ยอมยังไห้
    สินไซบอกน้องหอยสังข์ว่าค่อยออกเดินทาง เพราะนางสุมุณฑายังร้องไห้ไม่หยุด เพราะไม่อยากกลับไป ใจยังห่วงยักษ์ผู้เป็นสามีอยู่ (เฮาค่อยย้ายแต่นี้ เมื่อหน้าเคี่ยนคา = พวกเราค่อยเคลื่อนขบวน, เดินดุ่งพระคีรี = เดินผ่าเขาลำเนาว์ไพร)
  1. ฟังยิน หัวพลย้าย คือดินดาแตก คื่น คื่น ย้าย ขวาซ้ายหลั่งไหล ทวนงาง้าว เดียระดาษประคือคำ ยน ยน พลายงาแดง ดุ่ง เซิงกระดิงก้อง
    การยกขบวนพลออกไปรบของยักษ์กุมภัณฑ์ที่จะไปแย่งชิงเอาภรรยาคือสุมุณฑากลับมา ดังกึกก้องเหมือนแผ่นดินจะแตกแยกออก มีทั้งช้างพลายงาแดง เสียงเครื่องยนต์กลไก หอกง้าวสรรพสิ่ง เสียงดังอึกกระทึกครึกโครม (คื่น คื่น ย้าย = เสียงเคลื่อนขบวน, ยน ยน พลายงาแดง ดุ่ง เซิงกระดิงก้อง = เสียงช้างพลาย เสียงพลเดินขบวน)
  1. เมื่อนั้น บาบ่พลั้ง พลันเงือดตาวเพชร แยงยังคอ ขาดลงสะเด็นกลิ้ง มันสวยได้ เอาหัวฮีบต่อ ได้ท่อด้ามดาบกล้า คึงก้าวแกว่งกะโยง
    สินไซคว้าเอาดาบฟาดฟันคอยักษ์ขาดกระเด็น แต่ยักษ์ก็รีบจับมาต่อกันอีก จับกำด้ามดาบเต้นกวัดแกว่งไปมา (สะเด็นกลิ้ง = หัวขาดกระเด็น, เอาหัวฮีบต่อ = เอาหัวมาต่อใหม่)
  1. เมื่อนั้น สีโหฮู้ อันคะนิงในราช จิตเกี่ยวแก้ว ทะยานย้ายยั่งลม เห็นเพื่อนพร้อม เพ็งทีปพฤกษ์หนา จอมศรีเสด็จ ล่วงลงเถิงท้าว
    ท้าวสีโหได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหว ก็รีบเหาะมาเร็วราวกับลมพัด พอมองเห็นฝูงยักษ์เต็มป่าไม้ สีโหก็รีบลงไปช่วยสินไซรบ (ทะยานย้ายยั่งลม = เร็วเหมือนลมพัด)
  1. เค้ง เค้ง เสื้อ คืนคุงฮบฮ่อ ราชาสีห์ฮื่นฮ้อง ทะลังพื้นหง่วนไหง ฝูงหมู่บริศาจเสื้อ หูแตกตายพลัน ยังแต่กุมภัณฑ์หลวง ผู้เดียวมาต้อง
    เมื่อสีโหได้ยินเสียงครึกโครมเต็มป่า สีโหก็ส่งเสียงร้องก้องพนา เหล่าพวกผีนักรบของยักษ์กุมภัณฑ์หูแตกตายหมด เหลือแต่ยักษ์ตนเดียว (ราชาสีห์ฮื่นฮ้อง = เสียงร้องของสีโห, พื้นหง่วนไหง = ฝุ่นตลบ, บริศาจเสื้อ = ภูติผีปีศาจ)
  1. มันแอ่วขึ้น ปอมเมฆเวหา แลล่วงไป บ่เห็นพงษ์เชื้อ ยืนคอยแก้ว กัลยาไห้หุ่ง ฮ้องด่านางนาให้ หลานน้อยฆ่าผัว
    เมื่อท้าวสินไซและสีโหฆ่ายักษ์บริวารตายกันหมดเหลือแต่ยักษ์กุมภัณฑ์ตนเดียว มันก็มองลงมาเห็นแต่นางสุมุณฑาร้องไห้อยู่ ก็เลยร้องด่านางสุมุณฑาว่า ให้หลานน้อยตัวเองมาฆ่าผัว (ฮ้องด่า = ร้องด่า)
  1. บัดนี้ เจ้าอยู่ค้าง ในหว่างสมคาม ท่อแต่ตัวเดียวเฮียม อยู่ปอมเป็นหม้าย อวนตายให้ หาบุญอันประเสริฐ เจ้าหากได้ก่อสร้าง หลายชั้นชาติหลัง
    ยักษ์กุมภัณฑ์ร้องด่านางสุมุณฑาต่อว่า แต่ต่อนี้ไปเจ้าเป็นหม้ายอยู่คนเดียวในระหว่างสงคราม แต่ก็ยังดีอยู่ไม่มีอันตราย เพราะว่าเจ้าได้ทำบุญไว้มากแต่ชาติปางก่อน (ในหว่างสมคาม = ในระหว่างสงคราม, ตัวเดียวเฮียม = เหลือตัวคนเดียว)
  1. เมื่อนั้น บุญเพ็งเจ้า สินไซย้ายออก หมากแจ่มเจ้า เต็งแพ้แม่นตา เลยเล่าแพ้(ชนะ) พญานาคนาโค เลิง เลิง ผัด ฮอดคุงสามแป้น
    สินไซได้ลงไปสู่เมืองบาดาลซึ่งเป็นที่อยู่ของพญานาค แล้วมีการเล่นพนันสกาหรือหมากรุกกัน สินไซก็ชนะตั้งสามครั้ง แต่พญานาคไม่ยอมบอก ลูกน้องรุมล้อมจะฆ่าสินไซ (หมากแจ่มเจ้า = หมากรุกของสินไซ, เลิง เลิง ผัด = ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ)
  1. เลยขำเขือกห้วง เท่าทั่วทั้งเมือง ชาวนาคา ป่าวกันมาเด้า นาโคผู้ กือเมืองฮ้อนเฮ่ง จัดไพร่ล้อม ลงตั้งแต่ประมาณ
    เมื่อสินไซชนะในการเล่นพนันกันตั้งสามครา พวกนาคก็เลยวุ่นวายโมโหกันทั้งเมือง หาว่าสินไซโกง เลยจะฆ่าสินไซ โดยจัดพวกพลไพร่ล้อมสินไซไว้ (เลยขำเขือกห้วง = ประท้วงทั่วเมือง, กือเมืองฮ้อนเฮ่ง = เจ้าผู้ครองเมืองนาคสั่งบริวารล้อมไว้ )
  1. พระก็ส่งสารใช้ ครุฑราชราเซ็น ภูมีเห็น ฮ่ำในคะนิงน้อย ครุฑราชเจ้า ดาพลแล้วล่วง คณาครุฑเหลื่อม ไหลล้นมืดบน
    สินไซก็เลยส่งสัญญาณคือยิงศรไปถึงพญาครุฑที่นับถือเป็นพี่ที่รักกัน พอพญาครุฑเห็นศรส่งสารไป ก็เลยคิดสงสารน้อง พาพลพวกครุฑเป็นจำนวนมากมายมืดฟ้ามัวดินลงมาช่วยสินไซ (ฮ่ำในคะนิงน้อย = พญาครุฑคิดถึงน้อง)
  1. เมื่อนั้น พระบาทเจ้า ชมซื่นหุมหัว ทั้งแดนเขา ข่าวขอขามไหว้ พระก็ทรงธรรมแท้ เทศนาเหนืออาสน์ สอนสั่งท้าว ทรงสร้างสืบเมือง
    เมื่อสินไซชนะแล้ว ชาวนาคจึงเข้ามาขอขมาไหว้ สินไซจึงเทศนาธรรมมะ สั่งสอนแนวทางปกครองบ้านเมือง
  1. นางจันทร์เจ้า ใจฮมฮักแม่ แม่ก็ฮักลูกแก้ว กุมเกี้ยวจูบขวัญ โชมเอาเจ้า เมือแท่นลายเหลือง สองแพงฮัก ฮ่ำหลังเหลือไห้
    เมื่อสินไซชนะพญานาคโดยการช่วยเหลือของพญาครุฑแล้ว ก็กลับขึ้นไปเมืองเป็งจาล ไปพบแม่คือนางจันทรา นางจันทราผู้เป็นแม่ก็แสนดีอกดีใจเข้ากอดสินไซลูกรักยกขึ้นจูบรับขวัญ นางจันทราผู้เป็นแม่อุ้มเอาลูกสินไซขึ้นสู่แท่นทอง ทั้งสองแม่ลูกกอดรักกันทั้งร้องไห้รำพรรณต่อกัน
  1. พอเมื่อ ฮ่วน ฮ่วน เข้ม สูรย์แสงฮ้อนเฮือ เขาก็ย้ายเผียกม้า ดามได้จูดกระนวน ม้าแผดต้อง ดำถูกประนมหลวง ไฟลามลุก พุ่งแสงสุมไหม้
    เตรียมบุกเข้ารบในวัง พอมืดค่ำก็ยกขบวนเข้ารบ โดยทำลายประตูเมือง ไฟไหม้ลุกลามไปทั่วพระนคร (สูรย์แสงฮ้อนเฮือ = เมื่อพระอาทิตย์ตกดินบริเวณมืด, ย้ายเผียกม้า = ต้อนสัตว์ช้างม้าเข้าคอก, จุดกระนวน =ตามไฟ จุดใต้ให้สว่าง)
  1. ผ่อเห็นชะใยฝ้า ไหลเลียบแดนดิน บาก็อวนสองศรี พรากเมืองมารฮ้าย สังข์ทองท้าว อวนองค์เที่ยวท่อง พระพี่น้อง เดินดั้นฮีบแฮง
    สองพี่น้องคือสินไซกับหอยสังข์ส่งผ้าสไบอธิษฐานให้ไหลไปตามแม่น้ำแล้ว ก็พากันออกไปจากเมืองยักษ์ เดินไปแบบเมื่อยล้าโรยแรง (มารฮ้าย = พวกมารร้าย, ดั้นฮีบแฮง = พี่น้องเดินตรวจพล)
  1. ข้ามแม่น้ำ เถิงท่านทั้งหก เขาก็เนาไพรเพียง อยู่คองคอยน้อง สีโหท้าว เทียมบาฮักเฮ่ง พระพี่น้อง เนื่องเฝ้าฮ่ำเฮียน
    สินไซกับหอยสังข์ข้ามน้ำ พอขึ้นฝั่งก็พบกับพี่น้องทั้งหกที่นอนในไพร รอพบอยู่ (คอยน้อง = รอน้อง, บาฮักเฮ่ง = รักน้องมาก)
  1. เมื่อนั้น เวราฮ้าย นำจวนภูวนาถ เขาก็ปัดกึ่งก้อน คำล้านใส่เหว คอกลมกลิ้ง นำแปวน้ำทั่ง ภูวนาถกลั้น ใจน้อยมอดมัว
    สังข์กับสีโหเดินทางไปพบแม่ที่ปราสาทกลางป่า ส่วนสินไซ สุมุณทา และสีดาจันเดินทางจะกลับเมืองเป็งจาลพร้อมท้าวทั้งหก พอมาถึงน้ำตก ท้าวทั้งหกก็ผลักหินตกจากเหวทับสินไซตาย (เวราฮ้าย = เวรร้าย, นำแปวน้ำ = เดินตามทางน้ำไหลเซาะ)
  1. อินทร์ก็อุ้มแจ่มเจ้า เจียระจากชลหลวง คันโททิพย์ โสรจสรงสีล้าง กุมมารได้ สัญญายังเที่ยง คือคู่หลับตื่นแล้ว เลยฮู้เมื่อคิง
    ต่อมาพระอินทร์ก็ได้มาอุ้มออกจากน้ำ เอาคันโทโสจสรงให้จนฟื้นตื่นมาเหมือนนอนหลับแล้วตื่น แล้วรู้สึกตัวมีสติกลับคืน (อุ้มแจ่มเจ้า = พระอินทร์อุ้มเอาท้าวสินไช, เลยฮู้เมื่อคิง = ท้าวรู้สึกตัว)
  1. เขาก็คืนคอบเจ้า นางนาถสองศรี บัดนี้ สินไซตาย จากเฮือนฮามสร้าง ฝูงข้าเอากันหลิ่น วังหลวงน้ำใหญ่ เป็นเพื่อโทษท่านฮ้าย ปีนี้หล่มหลวง
    ท้าวทั้งหกกลับมาบอกนางสุมุณฑาและสีดาจันว่า สินไซตายจาก พวกเราพากันลงเล่นในวังน้ำ ผีร้ายมากจึงได้เอาถึงตาย (เอากันหลิ่น = พากันเล่นน้ำในวังน้ำ, โทษท่านฮ้าย = ผีเจ้าร้ายมากเลยทำโทษ)
  1. ผิหากบาดับเมี้ยน มีจริงจมจาก ขอให้ของเสี่ยงข้า หายพร้อมซู่ประการ ผิหากยังค่อยม้ม มีชาติชีวิต ขอให้มีคนนำ ขาบถวยเถิงข้า
    นางสุมุณทาไม่เชื่อจึงใช้ของเสี่ยงทาย ถ้าสินไซจมน้ำตายจริง ขอให้ของเสี่ยงทายหายหมด แต่ถ้ายังไม่ตายขอให้ได้ของสิ่งเหล่านี้กลับคืนมาถึงมือ (ผิหากยังค่อยม้ม = ถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่, ขาบถวย = ขอให้มีคนนำมาถวาย)
  1. วันนั้น พันตาใช้ กาบินบอกข่าว จับอยู่หอช่อฟ้า เวียนเว้าเล่าลาง พระบาทเจ้า ทิพโสดแสวงฟัง เสียงกานั้น นางมา ๆ เวียนว่า
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้กาบินมาบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องสินไซตาย กาบินมาจับอยู่บนช่อฟ้า พระยาก็ทรงเงี่ยหูทิพย์ฟัง บอกว่าเสียงกานั้นมันมาบอก
  1. ฮถมาศม้า เมือฮอดโฮงหลวง เขาก็เชิญสองศรี สู่คลองคนล้น มหากษัตริย์พร้อม สองนางเมือแท่น นางหนุ่มล้น ลีล่าวหลั่งตาม
    ม้าทั้งหกพร้อมสองท้าวเข้าสู่พระนคร ก็มีคนต้อนรับมากมาย พระมหากษัตริย์พร้อมทั้งสองนาง กลับไปนั่งที่พระเก้าอี้ ทั้งคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนมากเดินตามไป (ฮถมาศม้า = คณะขบวนเสี่ยงทาง, ฮอดโฮงหลวง = เอาของไปถวายถึงในวังหลวง, ลีล่าวหลั่งตาม = คณะหนุ่มๆสาวๆตามไปเป็นขบวน)
  1. เขาก็เฮียงมือน้อม สินไซชมชอบ พร้อมพรากหั่น ลงม่วนวังหลวง พอคาวคืน ว่าตายดงแจ้ง ข้าก็ยังเสี่ยงซ้อง สไบไว้หว่างชล
    นางสุมุณฑาเล่าให้พระยากุสราชฟังว่า หม่อมฉันยังไม่เชื่อว่าสินไซจะตายไป ก็เลยเสี่ยงทายโดยเอาซ้องและผ้าสไบไว้ที่แม่น้ำ (เฮียงมือน้อม = เอามือทั้งสองรอรับ)
  1. เทโวฟ้า ฝูงนางน้อมเสี่ยง ทิพโสตต้อง ตาแก้วฮุ่งเห็น แสวงโลกดั้น ดลพ่อเภตรา นำสไบปัก ปิ่นทองทั้งซ้อง
    พระอินทร์มีหูตาทิพย์ได้ยินได้เห็นนางเสี่ยงทาย จึงดลใจให้พ่อค้าเรือสำเภาเดินทางมาเจอสไบ ปิ่น และซ้อง
  1. เมือถวยเจ้า เป็นจาลจอมโลก ยามนั้น หกพี่น้อง ยังเฝ้าไป่ลา เขาก็เห็นสไบซ้อง ในขันของเสี่ยง แย่งยาดสู้ สวยได้เซืองเสีย
    เมื่อพ่อค้าเรื่อสำเภามาถึงเมือง เขาก็ได้นำของทั้งหมดเข้าถวายเจ้าเมืองเป็งจาล เมื่อนั้นหกพี่น้องที่เข้าเฝ้าอยู่ยังไม่ได้กลับไป พอเหลียวเห็นผ้าสไบและซ้องในขันเสี่ยงทาย ก็ตกใจรีบแย่งเอาไปซ่อน (เมือถวยเจ้า = เอาไปถวายพระเจ้าเมือง, สวยได้เซืองเสีย = ต่างแย่งกันเอา)
  1. เจ้าบอกให้ หาพวกคุมคน ฮอมเขามาทั้งโทม ใส่กระแจจำไว้ เมื่อนั้น กองหาญข้า ขุนพลเพชฌฆาต จัดฮีบฮ้อน สกุลโซ่ใส่พวง
    ท้าวกุสราชสั่งให้ทหารคุมตัวท้าวทั้งหกใส่กุญแจเอาไปขัง เมื่อนั้นกองทหาร ขุนพลเพชฌฆาตก็ได้จับใส่โซ่ตรวน
  1. เสนากล้า อวนทางไปก่อน ขึ้นขี่ม้า บ่ช้าล่วงไป เข้าป่าไม้ ดงใหญ่ไพรหนา นำราชาสู่หิมพานต์กว้าง
    จากนั้นเสนาก็ขึ้นม้าเข้าป่า นำทางไปก่อนอย่างรวดเร็ว เพื่อนำท้าวกุสราชไปสู่ป่าหิมพานต์
  1. ซุมความให้ สีคอนคนเก่ง จัดเพื่อนแผ้ว ทางกว้างก่อนพล สองข้าอ้าย อำลาลงฮีบ เดินพวกพร้อม พลช้างป่าวไป
    ให้จัดเอาคนเก่งๆ ให้เสร็จก่อนเที่ยง ทั้งสองน้องพี่ก็อำลารีบไปเตือนพวกพ้อง มีพลช้าง ป่าวประกาศออกไป (อำลาลงฮีบ = รีบลาลงโดยเร็ว)
  1. พังพลายย่อง กระดิงนันย้ายย่าง ยวงไพร่ข้ามหว่างไม้ เดินเช้าบ่เซา นับแต่พรากแก่นแก้ว แฮมป่าเดือนสอง เถิงแดนหิมวันต์ หว่างลัดสีสมสร้าง
    พวกพลช้างพลม้าก็เดินทางเข้าป่าเขาลำเนาไพร พลัดพรากบ้านเมืองเดินแรมป่าแรมเขาไปตลอดถึงเดือนสอง ก็ไปถึงแดนหิมวันต์ที่พระฤาษีสร้างไว้ให้ (กระดิงนันย้ายย่าง = เสียงกระดิงดังกล้องป่า, หิมวันต์ หว่างลัดสีสมสร้าง = หิมวันตประเทศที่พระฤาษีสร้างไว้ให้)
  1. อินโทท้าว ทวยนัททีแล้วล่วง เสด็จผ่านแผ้ว ผายน้ำล่วงลง พระบาทเจ้า องค์พ่อมายมโน มืนตาเห็น ลูกลุนเลียนข้าง
    ท้าวกุสราช เชิญนางจันทา นางลุนพร้อมโอรสกลับวัง มีการตัดพ้อต่อว่ากันจนเสียใจระทมใจจนสลบไปกันทั้งป่า (ทวยนัทที = พระอินทร์ถึงแม่น้ำแล้วก็ลงมา)
  1. กูจักพรากเพื่อนพร้อม เมือสู่เป็งจาล ทั้งปวงสู อย่ายืนอย่าเศร้า อย่าได้วิวาทฮ้าย เห็งเบียดเบียนกัน คำกูสอน ใส่ใจจำไว้
    ต่อมาท้าวกุสราชได้มอบเมืองให้สินไซ สินไซยอมรับที่จะครองเมืองเพื่อสร้างบารมีโพธิญาณ สินไซได้อวยพรให้สัตว์ทั้งหลายอายุยืนยาว อย่าเศร้าหมอง ให้เลิกทะเลาะ เลิกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้ใส่ใจจำคำที่กูสอนไว้ (วิวาทฮ้าย เห็งเบียดเบียน = อย่าไดัทะเลาะเบาะแว้งเบียดเบียนกัน)
  1. พระยาเมืองเจ้า เป็งจาลอวนออก พระก็ชมชื่นได้ คำแม่งปรารถนา ท่ม ท่ม พื้น โดยดินดากระเดื่อง ฟ้าเง่าเต้า เทวะไท้ด่วนดอม
    พระยาเมืองเป็งจาล ชื่นชมดีพระทัยที่ได้สิ่งที่ปรารถนาสำเร็จทุกประการ ฟ้าฝนก็ตกโปรยปรายโดยเทวะบัญชาบันดาลให้ (คำแม่งปรารถนา = ได้สมความปรารถนา, ท่ม ท่ม พื้น = เสียงสะเทือนดิน, พระก็ชมชื่นได้ = ดีพระทัย)
  1. ว่อน ว่อน ก้อง ระบำพาทย์พิณคำ สินไซประสงค์ สี่เมืองเดินต้าน ทุกสถานพร้อม ยินดีโดยราช ตกแต่งย่อง ลงหลิ่นข่วงกะสิง
    พระยากุสราช เจ้าเมืองเป็งจาล ทรงยินดีที่ความปรารถนาทุกอย่างสำเร็จตามพระประสงค์ ก็ทรงจัดการเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริก มีมหรสพ พิณพาทย์เสพงัน เป็นการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญท้าวสินไซกับคณะ
  1. เฮานี้ ควรทูลน้อม เจียงคำมามอบ เป็นดั่งเซ็งซั่วฟ้า เฮาฮู้แต่ลาง สะพรั่งพร้อม ขานชอบดาดี ทั้งนางเชียง ซู่เมืองมาน้อม
    ในการฉลองเมือง พระยากุสราชทรงดำริว่าควรจะมอบของขวัญให้อย่างดี จึงได้เชิญชวนประเทศราชที่เป็นเมืองขึ้นทั้งหมดมาร่วมงานด้วย (เซ็งซั่วฟ้า = ให้ลือเรื่องทั่วแดนดิน, เฮาฮู้แต่ลาง = เรารู้)
  1. วรุณราชท้าว เพ้อป่วงคะนิงหา สีดาจันทร์ พระยอดนางแพงล้าน เจ้าจากอ้าย เจียระฮ้างไปไกล พี่ก็เห็นอูปน้อง นั้นแต่ในมโน
    กล่าวถึง ท้าววรุณราช นอนเพ้อคิดถึงแต่นางสีดาจัน ผู้เป็นที่รัก คู่รักอยู่ห่างไกล พี่ก็ได้แต่คิดถึงและได้พบแต่ในความฝัน (อ้าย เจียระฮ้างไปไกล = ได้พลัดพรากจากกันไปนาน, อูปน้อง = เห็นแต่รูปน้องในใจตลอด)
  1. เฮาจักเมือเฝ้าเจ้า สินไซพระยาใหญ่ ขอจอมใจคืน สู่เมืองเฮาพี้ สูอย่าช้า เดาดาตกแต่ง กับทั้งคำค่าเนื้อ นางน้อยซั่งซา
    ท้าววรุณราชคิดถึงสีดาจัน จะไปเฝ้าสินไซเพื่อขอเอานางสีดาจันกลับมาเป็นภรรยา จึงสั่งให้พวกเสนาอำมาตย์ออกเดินทางและให้เตรียมเอาสินสอดทองหมั้นไปพร้อม (เมืองเฮาพี้ = สู่เมืองของเราทางนี้, น้อยซั่งซา = แก้วแหวนเงินทองเอาไปมากๆ )
  1. วรุณราชท้าว ทูลทันเทวราช ถวยท่อนเข้ม คำล้านฮูปนาง นาคขาบเกล้า กระบวนขอบขอนาง ขอแก่บุญเพ็งผาย โผดชีวังวางให้
    ท้าววรุณราชเข้าเฝ้าสินไซ ทูลถวายรูปนางสีดาจัน ท้าววรุณราชเป็นลูกพญานาคใรเมืองบาดาล เข้ากราบสินไซด้วยกิริยานอบน้อม เพื่อขอเอานางสีดาจันจากสินไซไปเป็นภรรยา โดยอ้อนวอนเพื่อให้สินไซเมตตา (คำล้านฮูปนาง = รูปนางหล่อด้วยทอง, ผาย โผดชีวัง = โปรดกรุณาปราณี)
  1. วรุณราชเจ้า เอานางเทียมแทบ พร้อมพรำหน้า ผยองล้ำล่วงบน ย่อง ย่อง ข้าม ซะเลหลวงหลายย่าน เถิงนครตน แต่งายยามเช้า
    ท้าววรุณราชเมื่อได้รับนางสีดาจันจากสินไซแล้ว ก็พากันกลับเมือง โดยพาข้ามน้ำทะเลหลายแห่งจนไปถึงเมืองของตนเอาตอนเช้าก่อนอาหารเช้า
  1. เวสสุวรรณเจ้า พญาผียักษ์ใหญ่ บ่เห็นกุมภัณฑ์มา ขาบเรียนประนมน้อม เป็นใดแท้ กุมภัณฑ์ละฮีด มันจักขัดแข็งข้อ ใดนั้นต่างใจ
    ท้าวเวสสุวรรณ ผู้เป็นใหญ่แห่งยักษ์ทั้งหลาย เวลาผ่านไป ไม่เห็นยักษ์กุมภัณฑ์เข้ามาไหว้ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร หรือยักษ์กุมภัณฑ์จะไม่ทำตามประเพณีแล้ว มันจะคิดจะแข็งข้อ หรืออย่างไร
  1. เวสสุวรรณเจ้า ต้านสั่งเสนา กูจักลาสูเจ้า ทะยานไปเยี่ยมเบิ่ง เป็นเหตุฮ้าย ใดแท้ให้เห็น แล้วทะยานตน ด่วนไปมิยั้ง
    แล้วท้าวเวสสุวรรณก็สั่งเสนา ว่าจะไปเยี่ยมดูกุมภัณฑ์ แล้วก็เหาะไปด่วน
  1. วันนุราชท้าว ทูลบาทบังคม ยอชุลีนบ ใส่ตะเกิงเหนือเกล้า ยังมีเซื้อหน่อท้าว ซั้นซื่อสินไซ นำเอาอาสุมุณฑา ฆ่ากุมภัณฑ์ตายเมี้ยน
    ท้าววันนุราช ผู้เป็นเจ้าเมืองแทนยักษ์กุมภัณฑ์ เมื่อเห็นท้าวเวสสุวรรณมา จึงลงมาถวายพระบังคมและทูลให้ฟังว่า มีลูกของพระยากุสราชชื่อ สินไซ มานำตัวนางสุมุณฑากลับไป และฆ่ายักษ์กุมภัณฑ์ตาย
  1. พระจึ่งถอนถกออก เจดีย์ธาตุฝุ่น ก็จึ่งเห็นออมคำ ดูกกุมภัณฑ์ท้าว เจ้าก็ปุนแปงตั้ง เอามาเฮียงหล่อ เทอะทานไท้ กุมภัณฑ์ท้าวเกิดมา
    ท้าวเวสสุวรรณได้มาชุปชีวิตยักษ์กุมภัณฑ์ โดยเอาผอบกระดูกออกมาเรียงหล่อต่อกันแล้วโสจสรงน้ำลง ยักษ์กุมภัณฑ์จึงได้ฟื้นคืนชีพกลับมา
  1. กุมภัณฑ์ต้าน ขานขุนทั้งโศก เฮาบ่เจ็บป่วยไข้ ในเนื้อสิ่งใด กูก็ยินโศกฮ้อน พ้นยิ่งแสนถนัด เพราะสุมุณฑานาง พรากกูฮามซ้อน
    กุมภัณฑ์มิได้เดือดร้อนเจ็บป่วยไข้ แต่เป็นทุกข์หนักโศกเศร้าแสนสาหัส เพราะคิดถึงนางสุมุณฑาที่มิได้อยู่ด้วยกัน (เฮาบ่เจ็บป่วย = เราไม่เจ็บไม่ไข้ได้ป่วยอะไร, โศกฮ้อน = ความทุกข์โศกโรคภัยไม่มี)
  1. กุมภัณฑ์กล่าวแล้ว ขัดกระบี่ดวงแสง ทะยานเวหา ฮอดนครยามเช้า หลิงเห็นพร้าว ทั้งตาลเขียวอ่อน โซมโซ่เฒ่า เห็นแล้วมาบทรวง
    ยักษ์กุมภัณฑ์กล่าวแล้ว ก็ขัดกระบี่ดวงแสง บินขั้นทะยายไปบนฟ้า จนมาถึงเมืองเป็งจาลตอนเช้า มองเห็นมะพร้าว ทั้งตาลสีเขียวอ่อน ก็แสนแสบทรวงในฐานะเป็นคนแก่ชรา (หลิงเห็นพร้าว = เห็นต้นมะพร้าว ต้นตาล)
  1. มันจ่มแล้ว เลยค่ำอรชร มันก็ฮวยอาคม กล่อมบังปอมลี้ ฝูงหมู่ชาวในห้อง วังหลวงหัตถบาส หลับลวดปิ้ง บ่มีฮู้เมือคิง
    ยักษ์กุมภัณฑ์บ่นเสร็จ ถึงตอนค่ำก็ท่องคาถาอาคมกล่อมให้ผู้คน ทั้งนางใน ชาววังหลวง ในวงแขนนอนหลับไหลทั้งเมือง
  1. น้อยบ่ช้า อุ้มกอดเอานาง แยงไปหอสินไซ กอดโจมเอาเจ้า เทวดาจากันแล้ว ถอยหนีวะหว่าง มารลวดอุ้ม เอาท้าวเผ่นผยอง
    ยักษ์กุมภัณฑ์ไม่รอช้า รีบอุ้มเอานาง และไปที่หอนอนของสินไซ อุ้มเอาสินไซออกมาด้วย เทวดาช่วยไม่ได้พากันถอยหนี ปล่อยให้ยักษ์กุมภัณฑ์หนีไปอย่างผยอง (ถอยหนีวะหว่าง = ขยับออกไปในระหว่างนั้น)
  1. เลยเล่าย่อง ย่อง ข้าม เหวตาดตีนเขา กลายคุงคา แม่กระแสเจ็ดห้าง ก็จึ่งเมือเถิงห้อง วิชัยยนต์ผาสาท วางนาถทะน้อง เทิงพื้นแท่นคำ
    ยักษ์กุมภัณฑ์อุ้มเอานางสุมุณฑาเหาะไปผ่านเหวลึกทั้งตีนเขา ผ่านแม่น้ำเจ็ดคุ้งน้ำ แล้วเอานางไปวางไว้ที่เตียงทองคำ (วิชัยยนต์ผาสาท = ปราสาทชื่อวิชัยยนต์, เทิงพื้นแท่นคำ = วางลงบนพื้นเตียงทอง)
  1. เขาก็เอากระทะหม้อ ขางหลวงหน่วยใหญ่ มาค้างไว้ เตากว้างขว่างเพียง เขาก็ดากันแล้ว ชนฟืนเสียงสนั่น พวกหนึ่งไปหาบน้ำ ยังไป่ทันมา
    สินไซโดนขังไว้ในคอกเหล็กจะโดนยักษ์ต้มกิน เขาก็เอากระทะเหล็กขางลูกใหญ่ มาวางไว้บนเตา เขาก็พากันจุดไฟได้เสียงฟืนดังสนั่น พวกหนึ่งไปหาบเอาน้ำ ยังไม่ทันมาถึง (เตากว้างขว่างเพียง = เอาเตามาตั้งที่สนามใหญ่กว้างขวาง)
  1. สีหราชท้าว สังข์ทองน้องพี่ สองก็พากันข้าม วังหลวงเจ็ดย่าน เถิงแห่งห้อง กุมภัณฑ์นคเรศ กลับเพศเพี้ยง เป็นแท้ต่างกัน
    สีโหและสังข์ทองพากันไปช่วยสินไซ ทั้งสองข้ามวังหลวงเจ็ดแห่ง จึงถึงเมืองยักษ์กุมภัณฑ์ แล้วแปลงกายไม่ให้เหมือนเดิม
  1. สีหราชท้าว กลับเพศเป็นยักษ์ เห็นเขาตัก น้ำไปใส่หม้อ เป็นใดแท้ ชาวเมืองมาซ่อย แบกฟืนและตักน้ำ มาด้วยเหตุใด
    สีโหแปลงเป็นยักษ์ พอเห็นเขามาตักน้ำไปใส่หม้อ จึงบอกว่าเป็นชาวเมืองมาช่วยแบกฟืนและตักน้ำ (สีหราชท้าว สังข์ทองน้องพี่ = สีโหและสังข์ทองสองพี่น้อง, ซ่อยแบกฟืน = ช่วยแบกฟืน)
  1. สีโหทำเพศเพี้ยง คือฮูปชาวยักษ์ โสมปุนคือ ดั่งชาวเมืองนั้น บาก็ไปหลิงเยี่ยม ต้านต่อถามดู ฮู้ว่าจักต้มสินไซ ก่อนงายวันนี้
    สีโหที่มีรูปกายเหมือนชาวยักษ์เมืองนี้ ก็ลองไปถามดู จึงรู้ว่าเขาจะต้มสินไซก่อนอาหารเช้าวันนี้ (ฮูปชาวยักษ์ = สีโหแปลงรูปร่างเป็นยักษ์, โสมปุนคือ = รูปร่างเหมือนแท้ๆ, บาก็ไปหลิงเยี่ยม = ไปเสาะแสวงสืบหา)
  1. สีโหกลับเพศ คือฮูปยักโข สังข์ทองทำ เพศเป็นตัวโม้ ตัวเขียดโม้ ลี้อยู่ในคู ทำฤทธีบัง บ่ให้ไผเห็นแจ้ง
    สีโหที่มีรูปกายเหมือนยักษ์ และสังข์ทองที่แปลงกายเป็นเขียดอีโม้ ลงไปอยู่ในถังน้ำและทำอิทธิฤทธิ์ไม่ให้มีใครมองเห็น (ทำฤทธีบัง = ทำฤทธิ์บังไว้ไม่ให้ใครเห็น)
  1. ฝูงหมู่ชาวขนน้ำ นำเถิงกระทะใหญ่ เขาก็เทถอกน้ำ ลงหม้อบ่นาน แล้วเล่าดังไฟขึ้น ขนฟืนซุกใส่ ให้น้ำฮ้อน คองถ่าต้มสินไซ
    หมู่ยักษ์ก็ขนน้ำ มาถึงกระทะใหญ่ แล้วก็เทน้ำออก ลงหม้อ ได้ไม่นาน แล้วก็ก่อไฟขึ้น เอาฟืนใส่เพื่อให้น้ำร้อน รอเวลาที่จะทำการต้มสินไซ
  1. อันว่า ตัวเขียดโม้ ลี้อยู่ในคู มันจึ่งกลับเพศเพี้ยง ทำม้างแผ่ทลาย น้ำฮ้อนฟ้ง ถืกหมู่โยธา เขาก็เซซวนปบ หลีกตายคางฮ้อง
    เขียดโม้แปลงที่ซ่อนอยู่ ก็กลับเพศแปลงเป็นตัวใหญ่ ถีบหม้อกระทะที่ต้มน้ำเดือดให้แตก น้ำร้อนก็กระเด็นถูกฝูงยักษ์ พวกเขาก็ล้มและพากันหนีตาย
  1. เมื่อนั้น บาบุญเจ้า สินไซทรงเดช พระก็ทรงธนูศิลป์ ผ่าเผลียงเสียงก้อง ปืนก็ไปเผลียงม้าง มารเพพังพ่าย ศรสอดม้าง ทายเสี่ยงเดชมาร
    สินไซยิงศรออกไป เสียงดังมาก ทำให้หมู่มารตายกันหมด
  1. ข้าก็คึดเถิงน้อง สุมุณฑาแสนส่วน แม่นว่า ลดชั่วเมี้ยน แสนตื้อก็บ่ลืม คึดเมื่อสินไซท้าว เอาพระนางหนีจาก วิบากฮ้าย ปางนั้นบ่ลืม
    ยักษ์กุมภัณฑ์บอกกับนางสุมุณฑาว่าคิดถึง ไม่เคยลืม เมื่อตอนสินไซเอานางหนีจากไป ก็ลืมไม่ได้ (วิบากฮ้าย = ลำบากพี่มาก)
  1. กุมภัณฑ์ท้าว กระสันนางน้อยนาถ มารป่วงบ้า คะนิงคุ้มห่วงหา ไผจักปองเอาได้ สุมุณฑามามอบ กูจักไลแท่นแก้ว วางให้แก่มัน
    ยักษ์กุมภัณฑ์กระสันมากเกือบเป็นบ้า มันคิดถึงแต่นางสุมุณฑา จนออกปากบอกว่าผู้ใดก็ได้ที่นำนางสุมุณฑามาให้ได้ ก็จะมอบบัลลังค์แก้วให้เป็นรางวัล (กูจักไลแท่นแก้ว = กูจะมอบแท่นบัลลังค์ให้)
  1. สามแจ่มเจ้า เทม้างเดชมาร เลยเล่ามุดมอดเมี้ยน เสียเดชขุนมาร มันก็ทำฤทธีกล้า ผันมามิหย่อน เสียงสนั่นเท่า ดินฟ้าฟั่งเฟือน
    สามพี่น้องช่วยกันรบกับพวกยักษ์ พวกมันก็มาทำอิทธิฤทธิ์เสียงดังสนั่นสะเทือนทั้งดินฟ้าไม่หยุด (ดินฟ้าฟั่งเฟือน = ฟ้าดินสั่นสะเทือน)
  1. เสียงสูนก้อง จักรวาลทุกแห่ง คื่น คื่น ก้อง โดยฟ้าเง่าฝน เสียงนันเท่า เถิงพรหมเทวโลก หัวขอบฟื้น ทะลังใต้ฟั่งเฟื่อน
    เสียงรบกันดังสนั่นฟั่นเฟือนไปหมด เหมือนฟ้าฝนลมแรง สะเทือนเลือนลั่นไปจนถึงชั้นพรหมโลก
  1. เลยเล่าเฟือนฮอดท้าว อินตาฮู้เหตุ ศิลาอาสน์ไท้ เลยกระด้างลวดแข็ง จึ่งตรัสส่องแจ้ง หลิงหล่ำสรญาณ ก็จึ่งเห็นกุมมาร อ่อนแฮงคีค้อย
    สู้รบกันจนร้อนไปถึงศิลาอาสน์ของพระอินทร์ พระอินทร์ก็ส่องกล้องลงมาเห็นกุมารอ่อนเพลียหมดแรง
  1. อินตาไท้ เสด็จลงโดยด่วน ปากเล่าต้าน คำแม่งต่อมาร ดูรา กุมภัณฑ์ท้าว ทรงฤทธีลือเดช อย่าได้ทำบาปฮ้าย สันนี้ บ่ควร
    พระอินทร์จึงต้องลงมาด่วน เรียกทั้งสองฝ่ายเจรจา ดูก่อนกุมภัณฑ์ผู้ทรงฤทธิ์อย่าได้ทำบาปอีกเลย มันไม่ดี
  1. สินไซได้ สุมุณฑาซมซื่น สามแจ่มเจ้า พาผ่ายเผ่นเมือ เลยเล่าฮอดแห่งห้อง หอมาศเป็งจาล ฝูงหมู่ชาวเมืองเขา อยู่คองคอยถ่า
    สินไซจึงได้นางสุมุณฑากลับมาด้วยความยินดี ทั้งสามคนจึงพากันกลับ มาถึงเมืองเป็งจาล โดยมีชาวเมืองรอต้อนรับอยู่
  1. ของอันนี้ กุมภัณฑ์เจ้า ถวยพระองค์ ถามข่าว พระเฮ้ย ว่าจักขอโอมเจ้า สุมุณฑานางเอก พอให้เป็นมิ่งต้น เทียมท้าวแต่งเมือง
    เมื่อทุกอย่างลงตัวเรียบร้อย ยักษ์กุมภัณฑ์จึงมาสู่ขอนางสุมุณฑาจากสินไซ เพื่อจะได้ไปก่อสร้างแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป (ถวยพระองค์ = ถวายพระองค์)
  1. คันว่า กุมภัณฑ์ท้าว ประสงค์นางคำซื่อ ให้ท่านแปงสะพานคำ ต่อมาเถิงพี้ อันว่า สองข้างนั้น ขัวเงินเทียมพ่าง ให้วะหว่างไว้ ไกลซั่วสองวา
    ส่วนสินไซกล่าวว่า ถ้าหากมีความจริงใจก็ยินดี แต่มีข้อแม้ว่าให้สร้างสะพานเงินสะพานทอง โดยสะพานทั้งสองให้ห่างระหว่างกันประมาณสองวา (แปง = สร้าง, วะหว่างไว้ = ระหว่างกัน)
  1. สารเรื่องสินไซนี้ คือกุมภัณฑ์ผิดฮีต ไปลักลอบได้ นางนาถสุมุณฑา สินไซนำเอาอา จึ่งฆ่ากันฟันม้าง เป็นตัวอย่างให้เห็น การผิดฮีตคลอง ท่านเฮ้ย
    นิทานเรื่องนี้สอนไว้ว่า ยักษ์กุมภัณฑ์ผิดฮีตคองหรือธรรมเนียมประเพณี ไปลักลอบได้เสียกับนางสุมุณฑา ทำให้สินไซต้องไปเอาอากลับมา จึงได้ฆ่าฟันกันตายไป เป็นตัวอย่างให้เห็นการผิดฮีตคองหรือธรรมเนียมประเพณี ท่านเอ้ย
  1. บอระบวนถ้วน จบเรื่องในนิทาน อาจารย์ธีรพล เป็นคนบรรยายไว้ ทองสุขทำป้าย ขยายมาให้ได้อ่าน ประมาณโดยย่อๆ พอได้ฮ่วมบุญ เจ้าเฮ้ย
    นิทานเรื่องสังข์สินไซก็จบบริบูรณ์ โดยท่านอาจารย์ธีรพล เป็นคนบรรยายเอาไว้ นายทองสุขเป็นผู้ทำป้าย มาให้อ่านกันโดยย่อ พอได้เป็นบุญ 27 ตุลาคม 2559 (พอได้ฮ่วมบุญ = พอได้ทำบุญร่วมกัน)

…………..

คณะทำงาน

ผู้แปลสินไซจากโคลงกลอนเป็นภาษาไทย

โดย หลวงตาเกรียง หรือ พระมหาเกรียงศักดิ์ โสภากุล ดร. (ธรรมวิจาโร) วัดโพธิ์บ้านโนนทัน

หลวงตาเกรียง หรือ พระมหาเกรียงศักดิ์ โสภากุล ดร. (ธรรมวิจาโร) วัดโพธิ์บ้านโนนทัน

บรรณาธิการ โดย สุทธวรรณ บีเวอ อีสานอินไซต์

ภาพถ่าย โดย ทิม บีเวอ Tim Bewer (www.Timsthailand.com)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *